Support
www.thaibizsolutions.com
095-979-9890
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2013-09-29 13:55:43.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "มาก" Many, Much, A lot of, Lots of ...

เนื่องจากภาษาอังกฤษ เขามีธรรมชาติไม่เหมือนภาษาไทย เวลาเราจะใช้คำว่า "มาก" เราต้องใช้ให้ถูกด้วย ... คำเหล่านี้ แปลว่า "มาก" ทั้งหมดเลย คือ ... Many, Much, A lot of และ Lots of

คราวนี้ เราลองมาดูว่า เราควรใช้คำเหล่านั้นอย่างไร

เนื่องจากภาษาอังกฤษ เขาคิดว่า มันมี "นามนับได้" และ "นามนับไม่ได้" ด้วย ... โดยที่ "นามนับได้" เขาจะต้องเติมตัว "s" เข้าไปท้า่ยคำนั้นๆ เวลาเราจะใช้กับคำที่มีความหมาย มากกว่า 1 ... และไม่ต้องเติม "s" ในกรณีที่ใช้กับ "นามนับไม่ได้" ... เพราะฉะนั้น เราจึงต้องใช้คำว่า "มาก" ตามกฎกติกาของฝรั่งเขาด้วย

สรุปว่า Many ใช้กับ "นามนับได้" ต้องเติม "s" ที่ท้ายคำเสมอ

Much ใช้กับ "นามนับไม่ได้" ดังนั้น ไม่ต้องเติม "s"

ส่วน A lot of ... หรือ Lots of ... เราใช้ได้กับทั้ง "นามนับได้" และ "นับไม่ได้" เลย ... ดังนั้น เราก็แค่เติม "s" ลงไปให้เหมาะสม ดังตัวอย่างต่อไปนี้นะครับ

1.) Many

- There are many people in that nightclub. มีคนเยอะจังเลยในไนท์คลับแห่งนั้น

- He has bought many books for his kids. เขาซื้อหนังสือมาให้ลูกๆเขาหลายเล่มเลย


2.) Much ... ถ้าใช้ "much" เป็น Determiner (ที่แปลว่า "มาก" เอาไว้ใช้แบบนำหน้าคำนาม ในลักษณะ Adjective) โดยมาก เขามักจะไม่ค่อยใช้ในประโยคบอกเล่า ... แต่ใช้ใน ประโยคคำถาม หรือ ปฏิเสธ มากกว่า ... แต่ถ้าใช้ใน ประโยคบอกเล่า เขามักจะมีคำว่า very หรือ so นำหน้า --> กลายเป็น very much หรือ so much

- Do you have much money? คุณมีเงินเยอะหรือเปล่า

- They don't have (very) much money. เขามีเงินไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่หรอก

- I'm having so much fun. ฉันกำลังสนุกมากเลย


3.) A lot of ...  และ Lots of ... - เราใช้เหมือนกันได้เลยครับ คือหมายถึง "เยอะ" ... สองคำนี้ เพื่อนคนอเมริกันเขาเคยสอนผมมาว่า มันเป็นคำแบบไม่ค่อยเป็นทางการ ดังนั้น เราจึงไม่ควรใช้สองคำนี้ในจดหมายทางการ เช่น จดหมายสมัครงาน จดหมายถึงลูกค้า จดหมายทางธุรกิจ ฯลฯ

- There is a lot of butter in my bowl. มีเนยอยู่ในชามผมเต็มเลย

- There are a lot of balls on the floor. มีลูกบอลอยู่เต็มเลยบนพื้น

- She has lots of good memories of that Europe trip. หล่อนมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับการเดินทางไปเที่ยวยุโรปครั้งนั้นอย่างมากมาย

guest

Post : 2013-09-12 12:27:02.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ตอบคำถามที่เป็นปฏิเสธ ในภาษาอังกฤษ

การตอบคำถามที่เป็นการถามแบบปฏิเสธ

เวลาตอบ เราจะไม่ได้คิดเหมือนภาษาไทยนะครับ เช่น

เวลาถามแบบปกติว่า: Do you want to come to my house?

ถ้าเราอยากไป ก็ตอบว่า: Yes, I do.

ถ้าเราไม่อยากไป ก็ตอบว่า: No, I don't.


แต่ถ้าเขาถามเราแบบปฏิเสธ เป็นว่า: Don't you want to come to my house?

ถ้าเราอยากไป ก็ตอบว่า: Yes, I do.

ถ้าเราไม่อยากไป ก็ตอบว่า: No, I don't.

* ตอบเหมือนกันเลยกับตัวอย่างข้างบน

 

ที่เจ้าของภาษาเขามีการถามแบบปฏิเสธ ก็เป็นเพราะ ... เขาอยากให้คำตอบเป็น "ใช่้" ... หรือไม่ก็คือว่า เขาคิดว่าตอบมันน่าจะเป็น "ใช่" ... หรือไม่ก็เป็นการชี้นำ ให้ผู้ตอบ ตอบว่า "ใช่" นั่นเอง

แต่ถ้าผู้ตอบ อยากยืนยันว่า "ไม่" จริงๆ ... ก็สามารถตอบว่า "ไม่" ได้นะครับ

*** เห็นไหมครับว่า ในภาษาอังกฤษ เวลาตอบคำถาม เขาจะคำนึงที่คำตอบเป็นหลัก ... ไม่ใช่คิดแบบ "ปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ" ถึงจะมีความหมายหักล้างกัน เป็นคำตอบแบบกลางๆ เหมือนในภาษาไทย

guest

Post : 2013-09-01 20:09:40.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  การใช้ Some และ Any

การใช้ Some และ Any

มีสถานที่ที่สอนภาษาอังกฤษหลายที่ มักสอนกันว่า Some ให้ใช้กับประโยคบอกเล่า ... Any ใช้กับประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ

อันที่จริง จะว่าไปแล้ว โดยส่วนใหญ่ก็ถือว่าใช้หลักนั้นในการจำแบบสั้นๆ ก็ได้นะครับ .. แต่ว่า ที่่ถูกต้องแล้ว ควรเข้าใจว่า Some ก็ใช้กับ "คำถาม" ได้ ... และ Any ก็ใช้กับ "บอกเล่า" ได้ เช่นกัน แล้วแต่ความต้องการที่จะพูดครับ

คราวนี้มาดูความหมายแบบพื้นฐานของทั้งสองคำนี้กันก่อน:

some กับ any แปลเหมือนกันเลย คือแปลว่า “บ้าง, จำนวนหนึ่ง”

แต่ใช้ต่างกันตรงที่:

some หมายถึง “จำนวนหนึ่งที่คิดว่ามีอยู่, เดาว่ามีอยู่”

any หมายถึง “จำนวนหนึ่งที่เ่ราไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขามีอยู่หรือเปล่า” เช่น

 

I have some butter at home. ฉันมีเนยอยู่ที่บ้านจำนวนหนึ่ง

Do you have any butter at home? คุณมีเนยอยู่ที่บ้านบ้างไหม (ไม่รู้ว่ามีรึเปล่า)

Do you have some butter at home? คุณมีเนยอยู่ที่บ้านจำนวนหนึ่งใช่มั้ย

I don't have any butter at home.  ฉันไม่มีเนยที่บ้านเลย

Would you like some drink?  คุณอยากจะได้เครื่องดื่มอะไรบ้างมั้ย

Don't you want any drink?  คุณไม่อยากได้เครื่องดื่มอะไรเลยเหรอ

Anyone can do this work. ไม่ว่าใครก็ทำงานนี้ได้ทั้งนั้นแหละ

 

ลองมาฝึกเข้าใจภาษาอังกฤษแบบเป็นธรรมชาติ ให้เหมือนกับที่เราเข้าใจภาษาไทยแบบธรรมชาติกันเลยนะครับ

ขอเอาใจช่วยทุกคนครับ

... เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2013-06-20 10:37:00.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  พื้นฐานการออกเสียงภาษาอังกฤษ

พื้นฐานการออกเสียงภาษาอังกฤษ

ตัวอักษรภาษาอังกฤษมี 26 ตัว แบ่งเป็นสระ 5 ตัว และพยํญชนะ 21 ตัว มีการออกเสียงตามพื้นฐานดังนี้

1.) สระ a e i o u มีเสียงพื้นฐานดังนี้

a = แอะ

e = เอะ

i = อิ

o = เอาะ

u = อะ หรือ ไม้หันอากาศ (   ั )

 

2.) พยัญชนะ มีเสียงพื้นฐานดังนี้

b = บ

c = ค

d = ด

f = ฟ

g = ก (ก.ไก่ แบบออกเสียงหนักที่โคนลิ้นหรือส่วนต้นของลำคอภายใน)

h = ฮ

j = จ (เป็น จ.จานแบบ ปน เสียง ด.เด็ก ในตอนต้น)

k = ค

l = ล

m = ม

n = น

p = พ. หรือ ป.

q = ค (ต้องใช้คู่กับตัว u เสมอ ... เมื่่อรวมตัวกันแล้ว qu จะออกเสียงเป็น "คว")

r = ร (อันที่จริงเป็นเสียง "วร" ควบกันเป็นเสียงๆเดียว)

s = ส

t = ท. หรือ ต.

v = ว (เป็น ว.แหวน ปนเสียง ฟ.ฟัน)

w = ว (ว.แหวน ตามปกติ)

x = คส์ (เริ่มด้วยเสียง ค.ควาย แล้วต้องมีเสียง ส.เสือ ตามหลังเสมอ)

y = ย

z = ซ (เป็น ซ.โซ่ แบบ เริ่มต้นด้วยเสียง ด.เด็ก)

 

ตัวอย่างการอ่านออกเสียงคำภาษาอังกฤษ

1.) Man = ม. - แอ - น. ออกเสียงว่า "แมน" แปลว่า "ผู้ชาย"

2.) Bed = บ. - เอ - ด. ออกเสียงว่า "เบด" แปลว่า "เตียงนอน"

3.) Kit = ค. - อิ - ท. ออกเสียงว่า "คิท" แปลว่า "กล่องใส่เครื่องมือ"

4.) Pond = พ. - ออ - น - ด์ ออกเสียงว่า "พอนด์" แปลว่า "สระน้ำ บึงน้ำ"

5.) Sun = ซ. -   ั - น. ออกเสียงว่า "ซัน" แปลว่า "ดวงอาทิตย์"

ถ้าสงสัย สามารถติดตามดูคลิปการสอนเรื่อง "การออกเสียงภาษาอังกฤษพื้นฐานทาง" YouTube ได้ที่ ...

https://www.youtube.com/watch?v=4DfMh6zNgcs

 

และเตรียมรอพบกับคลิปพื้นฐานการออกเสียงภาคสองและสามทาง YouTube เร็วๆนี้ครับ

guest

Post : 2013-05-30 11:04:25.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Work กับ Job แปลว่า "งาน" - ใช้ต่างกัน

คำว่า "งาน" มีอยู่หลายคำ เช่น work, job, task

ลองมาดูคำว่า work กับ job นะครับ เนื่องจากมีคนที่ใช้สับสนกันอยู่เยอะ ลองมาเปรียบเทียบการใช้ในรูปแบบที่เป็น "คำนาม"กันครับ

 

1. Work เป็นได้ทั้ง verb และ noun; Verb (กริยา) แปลว่า "ทำงาน"; Noun (คำนาม) แปลว่า "งาน" หมายถึงตัวเนื้องาน โดยใช้เป็น "คำนามนับไม่ได้" เท่านั้น ... โดยถ้าเราจะใช้ work แบบเป็น "นามนับได้" มันจะอยู่ในความหมายว่า "ผลงาน" เช่น "ผลงานทางศิลปะ" เราจะใช้คำว่า "A work of art" เช่นนี้เป็นต้น ... คราวนี้ จะมายกตัวอย่างทั้งหมดเรื่อง work ที่เป็นคำนาม ดังนี้ครับ

     - I have a lot of work today. วันนี้ฉันมีงานเยอะเลย (ใช้เป็นนามนับไม่ได้)

     - This department has so much work. แผนกนี้มีงานเยอะ (ใช้เป็นนามนับไม่ได้)

     - This painting is such a work of art. (ใช้เป็นนาม "นับไได้") ภาพวาดนี้เป็นงานศิลปะที่สวยงาม

2. Job เป็นคำนามได้เพียงอย่างเดียว แปลว่า "งาน" ในความหมายที่เป็น "ตำแหน่งงาน" หรือ "งานที่เป็นจ๊อบๆ หรือเป็นโปรเจ็คท์ๆ" อะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็น "นามนับได้" เวลาใช้ ต้องแสดงการนับได้ โดยไม่เป็น "หนึ่ง" ก็ต้องเป็น "หลาย" ตัวอย่างเช่น

     - You've got a nice job! (พูดแบบแสดงความรู้สึก) โอ้, คุณได้(ตำแหน่ง)งานที่ดี

     - You did a good/nice/terrific/excellent job. (พูดตอนที่เพื่อนเราทำงานอะไรเสร็จสักอย่างหนึ่ง แล้วเราจะแสดงความยินดี) แปลว่า คุณทำผลงานได้เยี่ยมเลย

 

 

guest

Post : 2013-04-12 21:35:36.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Articles: A-An-The ใช้อย่างไร

การใช้ Articles: A, An, The

Article "A" - ใช้เมื่อพูดแบบไม่เจาะจง คือพูดถึงนามนับได้ในกรณีทั่วๆไป แบบความหมายเป็น "หนึ่งชิ้น" ... คือว่า คนที่ฟังเราเขาก็ไม่ได้เข้าใจชัดเจนเป๊ะๆ ว่าเราหมายถึงของชิ้นใดเป็นพิเศษ เช่น

     1. I bought a car last month. ฉันซื้อรถ่คันนึงเมื่อเดือนที่แล้ว

     2. A beautiful woman is waiting for you. มีผู้หญิงสาวสวยคนนึงมารอพบคุณอยู่อ่ะครับ

 

Article "An" - ใช้เหมือน "A" ทุกอย่าง แต่ต่างกันตรงที่ "An" เอาไว้ใช้นำหน้านามนับได้แบบที่ "มีเสียงเริ่มต้นเป็นเสียงสระ" ซึ่งก็คือคำที่ออกเสียงเริ่มต้นเป็นเสียง "อ.อ่าง" นั่นเอง (ขอย้ำนะครับ ว่าเป็น "เสียงสระ" หรือ "เสียง อ.อ่าง" ... "ไม่ใช่รูปสระ a, e, i, o, u" แบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน) เ่ช่น

     1. Give me an hour. ขอเวลาฉันชั่วโมงนึงนะ (ต้องใช้ "An" เพราะคำว่า "Hour" มันออกเสียงว่า "อาว" ... ไม่ใช่ "ฮาว")

     2. Paul is an honest man. พอลเป็นผู้ชายที่่ซื่อสัตย์จริงใจแล้วก็พูดตรงๆดีนะ (เพราะ "Honest" ออกเสียงว่า "ออน-เนสท์")

* หมายเหตุ: ตัวอย่างต่อไปนี้ ต้องใช้ "A" นะครับ (ไม่ใช่ "An") คือ ... Kasetsart is a university, not a school. (เพราะมันออกเสียงว่า "ยูนิเวอร์ซิตี" ... เป็นเสียง "ย.ยักษ์" ... ไม่ใช่ อ.อ่าง (ไม่ใช่ "อูนิเวอร์ซิตี) ... หวังว่าจะเข้าใจชัดเจนนะครับ)

 

Article "The" - เอาไว้ใช้เวลาที่่เรารู้ว่าผู้ฟีัง(หรือคนที่เราพูดด้วย)เขารู้ว่าเรากำลังหมายถึงคำนามหรือสิ่งของนั้่นๆอยู่ เช่น รู้ว่าหมายถึง สุนัขตัวเดียวกัน, ส้มลูกเดียวกัน, กองขยะกองเดียวกัน, ฝูงนกฝูงเดียวกัน, สถานที่เดียวกัน เป็นต้น ... โดยที่ "The" สามารถใช้กับคำนามทั้งนับได้และนับไม่ได้เลย และอีกทั้งถ้าใช้กับนามนับได้ ก็สามารถใช้ได้ทั้งนามที่เป็นทั้งเอกพจน์และพหูพจน์เลย เช่น

     1. She wants the flowers on her desk. เขา(ผู้หญิง)อยากให้เอาดอกไม้พวกนั้นมาวางบนโต๊ะของเขา

     2. The shirt is very dirty. เสื้อตัวนั้นมันสกปรกจริงๆเลย (แสดงว่า คนที่เราพูดด้วย เขารู้ว่าเรากำลังพูดถึงเสื้อตัวไหนอยู่)

 

หมายเหตุ: ยังมีเกร็ดความรู้เรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ รวมถึง YouTube คลิป ที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่เว็บไซต์ www.ThaiBizSolutions.com ด้วยนะครับ รับสอนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวถึงบ้านโทรเลย  081-4405980

guest

Post : 2013-03-18 13:14:31.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Say-Talk-Speak ใช้ต่างกันอย่างไร

 ภาษาไทยที่แปลว่า "พูด" มันตรงกับ Verb (คำกริยา) ภาษาอังกฤษหลายคำ ซึ่งใช้ต่างกันนะครับ

1.) Say = "พูดคำว่า..." หรือ "พูดว่า..." เป็น Verb ที่ต้องการกรรม โดยที่กรรมนั้นต้องเป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากเขา เช่น "คำพูด" (words) หรือ "ประโยค" (clause) ที่หลุดออกมาจากปากผู้พูด ตัวอย่างเช่น

     - She says, "Everybody loves you." หล่อนพูดว่า (พูดคำว่า) "ทุกคนรักคุณ"

     - Do you want to say something? "คุณมีอะไรอยากจะพูดมั้ย"

     - We would like you to come up on the stage and say a few words. "เราอยากขอให้คุณขึ้นมาบนเวทีเพื่อพูดอะไรสักหน่อย"

 

2.) Talk = แปลว่า "คุย" หรือ "เม้าท์" (ซึ่งก็คือความหมายว่า "พูด" นั่นเอง แต่มันจะฟังดูไม่ค่อยเป็นทางการเท่ากับคำว่า "พูด" .. ซึ่งคำว่า "พูด" นั้น เราขอสงวนสิทธิ์ไว้ใช้กับคำว่า "speak" เพื่อให้พวกเราคนไทยได้เห็นความหมายที่แตกต่างกันระหว่าง Talk และ Speak ว่า คำไหนเป็นทางการกว่ากัน)

ดังนั้นขอสรุปว่า Talk อาจจะตามด้วยกรรม หรือไม่มีกรรมก็ได้ ... แต่ส่วนมากจะไม่มีกรรม แต่ถ้าจะมีกรรม ก็จะเป็นกรรมที่เป็นพวก "หัวข้อสนทนา" หรือ "ภาษาใดภาษาหนึ่ง" เช่น

     - He likes to talk politics at dinner. เขาชอบพูดเรื่องการเมืองตอนกินข้าว(เย็น)

     - That guy talks Spanish with me all the time, so, I don't have an opportunity to practice French. ไอ้หมอนั่นมันพูดภาษาสเปนกับฉันตลอดเวลาเลย มันทำให้ฉันไม่มีโอกาสจะฝึกฝนภาษาฝรั่งเศสเลย

     - They talk English all the time. "พวกเขาพูดคุยภาษาอังกฤษตลอดเวลาเลย"

 

แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้เป็น Verb (กริยา) ที่ไม่ต้องการกรรม แต่ถ้าจะมีส่วนต่อเติมออกไปในประโยคให้ยาวขึ้น ก็จะมี Preposition (to, with, of, about) มาก่อน เช่น

     - He doesn't like to talk about his work during dinner. "เขาไม่ชอบพูดเรื่องงานตอนกินข้าว(เย็น)"

     - Why didn't you talk to me first? "ทำไมคุณไม่พูด/คุยกับฉันก่อนล่ะ"

 

3.) Speak = แปลว่า "พูด" (ถ้าจะเปรียบเทียบให้พวกเราคนไทย เข้าใจแบบง่ายๆ ก็คือ "พูด" (speak) มันจะเป็นทางการกว่าคำว่า "เม้าท์" (talk) อะไรแบบนี้นะครับ) แล้วคำว่า speak นี้จะมีกรรมมารับหรือไม่มีก็ได้ ... ซึ่งถ้ามีกรรมมารรับ ก็มักจะเป็นกรรมที่เป็นภาษาอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วก็สามารถใช้ร่วมกับ Preposition (to, with, of, about) ได้ เช่น

     - Can I speak with Matthew? "ขอฉันพูดกับแมทธิวหน่อยได้มั้ยคะ"

     - Although my grandparents are originally from China, I don't speak a Chinese word.

       "แม้ว่าปู่ย่าตายายของฉัน เขาจะมาจากเมืองจีนก็ตาม แต่ฉันก็พูดภาษาจีนไม่ได้สักคำ"

     - This man and his girlfriend are speaking the language of love. "ผู้ชายคนนี้กับแฟนของเขากำลังพูดภาษารักกันอยู่"

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

www.ThaiBizSolutions.com

guest

Post : 2013-02-26 09:06:56.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "รายการอาหาร" ใช้คำว่า Menu หรือ Dish?

 คำว่า "รายการอาหาร" ในภาษาอังกฤษ ใช้ คำว่า Menu หรือ Dish?

ทุกวันนี้ คนไทยจำนวนมากชอบเอาคำภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทย แต่มักจะใช้ผิดความหมายกันเยอะ คำทับศัพท์ที่เราเอาภาษาอื่นมาใช้แล้วใช้ในความหมายที่ผิดไป ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า False Friend(s) .. ถ้าคำเหล่านั้นใช้อยู่ในภาษาไทย เราก็เรียกมันว่า Thai False Friend(s)

วันนี้ขอยกตัวอย่างคำว่า "เมนู" ... ทุกวันนี้มีรายการทำอาหารทางโทรทัศน์เยอะมาก แล้วเขาก็ใช้คำว่า "เมนู" ผิดกันเกือบหมดทุกคน

เพราะ Menu แปลว่า "รายการอาหาร"ที่เป็นเล่มๆ หรือเป็นแผ่นใหญ่ๆ ที่ประกอบไปด้วยชื่ออาหารชนิดต่างๆ ที่ร้านอาหารนั้นขายอยู่

เนื่องจากคนไทยชอบคิดเป็นภาษาไทยว่า "นี่เป็นเมนูที่เยี่ยมยอดมากเลย" !!! พูดแบบนี้ในภาษาอังกฤษ ถือว่าผิดนะครับ !!!

ซึ่งอันที่จริงเขาควรจะพูดว่า "นี่เป็นรายการอาหารที่เยี่ยมยอดมากเลย" ต่างหาก ... ทีนี้ คำว่า "รายการอาหารที่เยี่ยมยอด" เนี่ย เขาหมายถึงรายการอาหารแต่ละชนิดต่างหากล่ะครับ ซึ่งจะตรงกับคำว่า Item หรือคำว่า Dish จึงจะถูก

เพราะฉะนั้น "นี่เป็นรายการอาหารที่เยี่ยมยอดมากเลย" ควรใช้ว่า ...

This is a wonderful item. หรือ This is a wonderful dish.

ไม่ใช่ This is a wonderful menu. (ผิดนะครับ) (ถ้าเขียนแบบนี้ จะหมายถึง "เป็นเล่มรายการอาหารที่ออกแบบสวย ดูอ่านง่าย ฯลฯ อะไรทำนองนี้)

ลองดูคลิป YouTube ของเรา เรื่อง Thai False Friends (Part 2) ที่ประกอบด้วยคำหลายคำ โดยรวมคำว่า "เมนู" ไว้ด้วย ได้ที่ลิงค์นี้

http://www.youtube.com/watch?v=ZHq08Gl_9So

guest

Post : 2013-02-06 11:57:05.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า Attached และ Kindly ใช้อย่างไร

ขอเสนอ 2 คำ ที่คนไทยมักใช้ผิดบ่อยๆ ในการเขียนอีเมล์ในที่ทำงาน หรืออีเมล์-จดหมายธุรกิจ

คือคำว่า "Attached" และ "Kindly"

1.) Attached - Verb ช่อง 3 .. มาจาก Verb ช่อง 1 ว่า To attach เป็น คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ (Transitive verb) แปลว่า "แนบ" หรือ "ส่งแนบ ... มาด้วย" อะไรทำนองนี้นะครับ ... แต่เมื่อเราใช้เป็น Verb ช่อง 3 ในการใช้แบบ Passive Voice โดยส่วนมาก ก็ใจะใช้ตามหลัง Verb to 'Be' แปลว่า "ถูกแนบมาด้วย" ... ผมเห็นคนไทยหลายคนที่เขาไปเรียนภาษาอังกฤษในที่ต่างๆมา แล้วจำการใช้แบบ "ท่องจำ" แต่ไม่ได้เข้าใจ "ภาพความหมายที่แท้จริง" จึงอาจเป็นเหตุให้ใช้ผิดได้ ... เอาเป็นว่า "ที่เขาใช้ผิดๆกัน" มันมีหลายแบบมากเลย ซึ่งผมขอกล่าวถึงเฉพาะที่ถูกต้องก็แล้วกันนะครับ

     - 1.1) มีเพื่อนชาวอเมริกันของผมที่เขาเป็นทนายความเคยส่งแฟกซ์มาหาผม เขาเขียนแบบนี้

               - Attached please find all the required documents.

                 แบบนี้ เขาใช้ Attached เป็น Verb ช่อง 3 โดยการ "ละ" คำบางคำไป ... เต็มๆ ก็คือ As attached, please find all the required documents.

     - 1.2) เราสามารถใช้ แบบตรงไปตรงมาเลย เป็น Active Voice (คือประโยคปกติ ที่ประธานเป็นผู้กระทำ) เช่น

               - I have attached all the required documents in this e-mail (คำว่า "already" จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้). ใช้เป็น Present Perfect Tense จะเหมาะสมกับการใช้ verb ตัวนี้ (สำหรับเหตุการณ์นี้) มากที่สุด

     - 1.3) เราเปลี่ยนรูปให้มันเป็นคำนาม คือ "Attachment" ซึ่งแปลว่า "สิ่งที่แนบ" ก็ได้นะครับ เช่น

               - This attachment contains all your requested documents.

* ที่ผิดๆ ที่ผมเคยเจอก็คือ Please find the attached file in this e-mail. คืิอ ตามหลักไวยากรณ์ มันก็ไม่ได้ผิดนะครับ แต่ว่า คำว่า "find" เนี่ย ภาพของความหมายมันก็คือ "หาให้เจอ" หรือ "เจอ" ซึี่งในความหมายแบบนี้ มันจะออกมาในทำนองว่า ไฟล์ที่คุณส่งแนบมานี้เนี่ย มันหายากนิดหน่อย คุณต้องไปหามันให้เจอ ... ซึ่งมันจะทำให้ผู้เขียนถูกมองว่า ใช้คำตลกได้

อันที่จริงมันยังมีการใช้ได้อีกหลายรูปแบบนะครับ ... เราก็ใช้ไปตามหลักของภาษานั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน

 

2.) Kindly คำนี้ เป็น คำวิเศษณ์ (Adverb) ซึ่งใช้ขยายความให้แก่ Verb, Adjective หรือ Adverb อีกตัวหนึ่งก็ได้ .. คำนี้ ผมเห็นคนไทย ที่พยายามจะเขียนประโยคใ้ห้มันฟังดูสุภาพ เข้าใจผิดกันอย่างแรงเลย ... เขาคงจะคิดว่า ใช้คำนี้แล้ว ประโยคของเขามันจะฟังดูสุภาพล่ะมั้ง ... อันที่จริง ไม่ใช่้นะครับ คือ ตามคำแปลแล้ว มันแปลว่า "อย่างใจดี" ที่ผมเห็นการใช้ผิดๆ ที่เขาใช้ตามกันจนแพร่หลายก็คือ

(ผิด)   - Please kindly advise how to do this job.  หรืออะไรทำนองนี้นะครับ .. ลักษณะนี้ มันจะแปลว่า "กรุณาแนะนำอย่างใจดี ว่าจะทำงานนี้อย่างไร" ... คุณว่ามันตลกมั้ยครับ .. กรุณาอย่าใช้เลยนะครับ เพราะมันจะทำให้ผู้อ่านที่เขารู้เรื่องมองคุณว่าคุณใช้ภาษาอังกฤษได้ตลก ... ถ้าจะถามว่าใช้อย่างไร ... ก็ใช้ไปตามคำแปลแบบพื้นๆ เลยครับ เช่น

     - You kindly taught me how to do this job.  I really appreciate your teaching. แปลว่า คุณได้กรุณาสอนผมเป็นอย่างดีถึงวิธีการทำงานชิ้นนี้ ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก

ถ้าอยากจะแก้ประโยคที่ตลกๆ ข้างบนที่ว่า Please kindly advise how to do this job. ... ใช้แค่นี้ ก็สุภาพแล้ว คือ Could you please advise how to do this job? หรืออันที่จริง เขียนเหมือนเดิม แต่ตัด kindly ออก มันก็สุภาพพอแล้ว ... อย่าพยายามสุภาพจนเกินความจำเป็น คือ Please advise how to do this job.

guest

Post : 2013-01-31 10:15:02.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  การใช้ IF Clauses

"IF" Clauses: โดยทั่วไป ฝรั่งเขาใช้กัน 3 วิธีหลักๆ

1.) Future Possible: จำง่ายๆ ว่าแปลว่า "ถ้า" คือหมายถึง การใช้ในประโยคที่อาจจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ในอนาคต เช่น

     - If he shows up at the party, I will take you to lunch tomorrow. ถ้าเขาโผล่มาที่งานเลี้ยง   พรุ่งนี้ฉันจะพาคุณไปกินข้าวเที่ยง

     - Your mother will give you 300 baht if you can finish these 3 hamburgers. แม่จะให้เงินคุณ 300 บาท ถ้าคุณกินเบอร์เกอร์ 3 อันนี้หมด

     รูปแบบ: If + Present (Simple/Continuous/Perfect) Tense (ส่วนมากจะเป็น Present Simple), Future (Simple) Tense (ง่ายมากเลย ... ก็คือเป็นประโยคที่มี will เท่านั้นเอง)

2.) Present Unreal:  แบบที่สองและแบบที่สามนี่น่าจะแปลว่า "สมมุติ" น่าจะทำให้่พวกเราเห็นภาพมันง่ายขึ้น แต่แบบที่สองนี่ต่างจากแบบที่สามคือ Present Unreal ใช้กับการสมมุติแบบที่ไม่มีวันจะเป็นจริงไปได้ในปัจจุบัน เช่น

     - If he were a woman, he would be very beautiful. ถ้าเขาเป็นผู้หญิงนะ เขาจะสวยมากเลย ... ควรรู้เพิ่มเติมว่า ถ้าต้องใช้ Verb to Be ในการใช้แบบ Present Unreal นี้ ... ฝรั่งเขาจะใช้ were หมดเลย (จะไม่ใช้ was ถึงแม้ประธานจะเป็น I, He, She, It ก็ตาม ... การใช้ Verb ในรูปแบบสมมุติแบบนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า "Subjunctive" ดังนั้น ถ้าคุณสงสัยว่ามันมีรายละเอียดอย่างไร ก็ลอง search หารายละเอียดเพิ่มเติม โดยการใส่คีย์เวิร์ดว่า subjunctive(s) นะครับ จะพิมพ์แบบเติม s หรือไม่เติม s ก็ได้ ) แต่คุณอาจจะพบว่าฝรั่งเองเขาก็อาจจะเคยชินกับการใช้ was ในการใช้ IF Clause แบบนี้ ... ซึ่งในชีวิตจริงเขาก็มีใช้กันได้ แต่ถ้าจะใช้สอบ เราต้ิองเลือก were เสมอ (ห้ามใช้ was เวลาที่ไปสอบ grammar นะ .. เพราะเขาจะไม่ให้คะแนนคุณ)

     - If you could come to my house tomorrow, you would see everyone that you wanted to see. ถ้าคุณมาบ้านผมพรุ่งนี้ได้เนี่ยนะ (ที่เราใช้แบบนี้ ก็เพราะเราเชื่อว่า ยังไงเขาก็มาไม่ได้แน่) คุณจะได้เจอทุกคนที่คนอยากเจอ

     รูปแบบ: If + Past (Simple) Tense, Future Tense in the Past (คือเหมือนแบบ 1 แต่เปลี่ยนจาก will เป็น would หรือบางที เราก็ใช้ could, should, might ได้ ... ตามแต่ความหมายที่เราอยากพูด)

3.) Past Unreal: ใช้ในการสมมุติกับเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ว่าถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเนี่ยนะ มันก็จะ ... (จุด จุด จุด) เช่น

     - If it hadn't been flooded 2 years ago, our country's economy wouldn't have been so bad. ถ้าเมื่้อสองปีก่อน น้ำไม่ท่วมอ่ะนะ เศรษฐกิจของประเทศเราคงไม่แย่แบบนี้หรอกเนอะ

     - If Barack Obama hadn't been elected Present of the United States, everything in this world might have been so much different. ถ้าบารัค โอบามาไม่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอ่ะนะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันคงจะแตกต่างจากนี้ไปสิ้นเชิงเลยเนอะ

     รูปแบบ: If + Past Perfect Tense, เหมือนแบบสอง แต่เปลี่ยน Verb ที่ตามหลัง Verb ช่วย พวก would, could, should, might ให้เป็นรูปแบบของ have+V. ช่อง 3 เท่านั้นเองครับ

* ถ้ายังไม่เคลียร์เท่าไหร่ ก็อาจลองดูคลิป YouTube ที่เราทำไว้แบบสั้นๆ เพิ่มเติมด้วยก็ได้ เผื่อว่าจะเข้าใจมากขึ้น ตามลิงค์ข้างล่างนี้

http://www.youtube.com/watch?v=oijWSthJi2A

guest

Post : 2013-01-25 15:10:27.0     Forum: เทคนิคการออกเสียงภาษาอังกฤษ  >  เทคนิคการออกเสียงภาษาอังกฤษ

เทคนิคการออกเสียงภาษาอังกฤษ

ลองดูคลิปใน YouTube ของเรา #18

Clip18 พื้นฐานการออกเสียงคำภาษาอังกฤษ Part 1

ตามลิงค์นี้ http://www.youtube.com/watch?v=4DfMh6zNgcs

เมื่อเราออกเสียงได้ถูกต้อง การฟังเจ้าของภาษาพูดภาษาอังกฤษก็จะง่ายขึ้นด้วย

guest

Post : 2013-01-23 13:06:08.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เทคนิคการฟังภาษาอังกฤษ

การฟังภาษาอังกฤษ ถือเป็นเรื่่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งของคนไทยโดยส่วนใหญ่ เนื่่องจากมันต้องประกอบด้วยสิ่งสำคัญหลายอย่าง เช่น:

1. ทักษะพื้นฐานด้านภาษา (Grammar)

2. การรู้ศัพท์ในจำนวนหนึ่ง ซึ่งควรจะเีพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน (Vocabulary)

3. ความคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษาแต่ละประเทศ เช่น สำเนียงแบบอังกฤษ อเมริกัน คาเนดี่ยน ออสเตรเลี่ยน นิวซีแลนด์ อินเดียน แอฟริกาใต้ ฯลฯ

4. ความละเอียดอ่อนของหูของเรา ว่าเรามีความละเอียดในการฟัง มาก-น้อยแค่ไหน (บางคนก็ไว บางคนก็ช้า)

ซึ่งการที่เราจะฟังเจ้าของภาษาอังกฤษพูดให้ง่ายขึ้นนั้น นอกจาก 4 ข้อหลักสำคัญๆ ข้างต้นแล้ว เราจึงควรจะออกเสียงคำต่างๆ พร้อมพูดคำต่างๆเหล่านั้นรวมกันอยู่ในประโยคให้มีความราบรื่นฟังดูเป็นธรรมชาติในแบบของภาษาอังกฤษ เพราะการที่เราออกเสียงถูก นั่นก็หมายความว่าเรามีแนวโน้มที่จะฟังเขาพูดได้ง่ายขึ้น

และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ การที่เราควรจะมีความสามารถในการคิดเป็นภาษาอังกฤษได้โดยอัตโนมัติ ไม่ใช้มาพูดเป็นคำๆ โดยการแปลมาจากภาษาไทย ซึ่งถ้าเรามาถึงขั้นสุดท้ายนี้ได้ ... รับรองว่าคุณฟังเขาได้เข้าใจเกิน 60-70% อย่างแน่นอน

ลองดู YouTube Clip แบบย่อๆ ที่เราทำไว้ ในเรื่องเทคนิคการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ตามลิงค์นี้

http://www.youtube.com/watch?v=u5KlHzFRU8I

และหวังว่าจะพอเป็นประโยชน์กัีบทุกๆ ท่านบ้าง

guest

Post : 2013-01-15 11:01:15.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ประโยคคำถาม ภาษาอังกฤษ เขียนอย่างไรจึงถูก

การเขียนประโยคคำถามภาษาอังกฤษ เขียนได้หลายวิธี ... แต่ที่หลักๆ ที่เราใช้กัน มีอยู่ 3 วิธี ... แต่อันที่จริง ฝรั่งเขาก็ใช้กันแบบไม่เป็นทางการกันในรูปแบบอื่นๆ อยู่อีก ... ซึ่งเราขอเสนอให้ดูรวมเป็น 4 วิธี

1.) Yes-No Questions คือ การถามเพื่ออยากรู้ว่า ใช่-ไม่ใช่ ... เวลาถาม ต้องใช้ Verb ช่วย (V. to do, V. to be, V. to have หรือ พวก will-would, can-could, shall-should, may-might, must) มานำหน้าประธาน .. เช่น

     - Do you like my shirt? คุณชอบเสื้อของฉันมั้ย

     - Is your school closed already? โรงเรียนของคุณปิดแล้วเหรอ

     - Are you coming to my home? คุณจะมาบ้านฉันหรือเปล่า

2.) ถามด้วย Question Words พวก What, When, Where, Why, Which, How, How many, How much, etc. คำถามพวกนี้ ถามเพราะเราอยากรู้เรื่องเฉพาะอย่าง ตามแต่จุดประสงค์ที่เราอยากรู้ ... ซึ่งเราก็ต้องใช้ Verb ช่วย มานำหน้าประธานอยู่เหมือนเดิม

     - What do you want to know? คุณอยากรู้เรื่องอะไร (ห้ามใช้ว่า What you want to know? เพราะมันผิด)

     - How may dogs do you have at home? ที่บ้านคุณมีหมากี่ตัว

     - Why did she break up with him? ทำไมเขาถึงเลิกกับแฟนล่ะ

3.) เหมือนแบบที่ 2.) แต่ว่า เราใช้ Question Words บางตัว มาเป็นประธานในคำถามเลย เช่น Who, What, Which, How may, How much ... ดังนั้น ในรูปแบบนี้ เราจะไม่ต้องใช้ Verb ช่วยแล้ว ... เช่้น

     - Who searched my desk? ใครมาค้นโต๊ะฉันอ่ะ

     - How many people want to go with me? มีกี่คนอยากไปกับฉัน

4.) ถามโดยใช้ Question Tags ... คือการพูดเป็นประโยคบอกเล่ามาก่อน แล้วค่อยมีคำถามห้อยท้าย ... ในภาษาไทยเราก็มีนะ เช่น ... เธอไม่ชอบอาหารที่ฉันทำ   เป็นอย่างนั้นใช่มั้ย

     - You don't like my food, do you? เธอไม่ชอบอาหารที่ฉันทำ   เป็นอย่างนั้นใช่มั้ย

เทคนิค ก็คือ เวลาใช้ Tag (ส่วนแปะท้าย) ต้องใช้เป็นรูปตรงข้ามกับประโยคหลัก .. คือถ้าประโยคหลักเป็นบอกเล่า ก็ต้องใช้ Tag เป็นปฏิเสธ .. หรือว่า ถ้าประโยคหลักเป็นปฏิเสธ เราก็ใช้ Tag เป็นบอกเล่า

     - He cannot drive, can he? เขาขับรถไม่เป็น  เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

guest

Post : 2013-01-07 11:47:44.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Door vs Gate แปลว่า

คำว่า "ประตู" ... เวลาแปลเป็นภาษาอังกฤษ ใช้ว่า Door กับ Gate แต่มันต่างกันคือ

1.) Door หมายถึง "ประตูเป็นบานๆ" ... เช่น

 -- The door of my bedroom is broken. (ประตูห้องนอนของฉันมันพัง)

 -- We were so surprised seeing you answer the door. (พวกเราประหลาดใจมากที่เห็นคุณมาเปิดประตูให้เรา)

 

2.) Gate หมายถึง "ประตูรั้วหน้าบ้าน" ... เช่น

 -- There is someone waiting for you at the gate. (มีคนมารอคุณอยู่ที่หน้าประตูรั้ว)

 -- Can you open the gate for me, please? (ช่วยเปิดประตูรั้วให้ผม/ฉันหน่อยได้มั้ย)

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง <www.ThaiBizSolutions.com>

guest

Post : 2012-12-25 11:03:38.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ปลูกต้นไม้ ใช้ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร

วันนี้ ขอเสนอภาษาอังกฤษที่แปลว่า "ปลูก" และ "ต้นไม้"

1. Noun ที่แปลว่า "ต้นไม้"

เวลาเราใช้คำภาษาอังกฤษที่แปลว่า "ต้นไม้" .. เราควรรู้ภาพของคำแปลให้ถูกต้องและชัดเจน

Tree = ต้นไม้ หมายถึง ต้นไม้ที่มีลำต้น (จะเป็นต้นเล็กหรือต้นใหญ่ ก็เรียก tree ได้) ต้นไม้ที่เป็นทรงลักษณะแบบต้นไม้ใหญ่ (เราจะไม่เรียกพวกไม้พุ่มหรือไม้ล้มลุก ว่า Tree)

Plant = พืช .. ซึ่งเวลาเราพูดภาษาไทย ในภาษาพูดทั่วไปที่ไม่ใช่ในเชิงวิชาการหรือพูดในชั้นเรียน เรามักจะเรียก "พืช" โดยทั่วไปว่า "ต้นไม้" ... ดังนั้น จากนี้ไป ควรใช้ภาษาอังกฤษ ใหุ้ถูกด้วยครับ ... เช่น

Ex. This garden has a variety of wild plants.

       This tree must be more than 50 years old.

--------------------------------------------------------------------

2. Verb ที่แปลว่า "ปลูก"

ทั้ง grow และ plant ก็เป็นคำกริยาที่แปลว่า "ปลูก" ทั้งคู่ ... แต่แปลต่างกัน

Plant = ปลูก ในความหมายว่า "เอาต้นไม้ลงปลูก (ในดิน หรือในน้ำ ฯลฯ)"

Grow = ปลูก ในความหมายในเชิงว่า "ปลูกเป็นอาชีพ" หรือ "ปลูกแบบเลี้ยง เพื่อเป็นกิจลักษณะ"

Ex.  You should plant the tulip bulbs before winter.

        Now they grow tulips in Chiangmai.

guest

Post : 2012-12-21 11:15:37.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Study กับ Learn ใช้ไม่เหมือนกันนะ

คำกริยา Study กับ Learn ใช้ต่างกันดังนี้

1.) Study แปลว่า "ศึกษา เล่าเรียน เรียนหนังสือ" ... เช่น

     1.1) เรียนวิชาต่างๆ ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ... --> My sister studied Psychology when she was in Grade 12.

     1.2) ศึกษาว่านกมันสร้างรังอย่างไร  ... --> Dad, I cannot go out with you because I'm studying how the bird is building its nest.

 

2.) Learn แปลว่า "เรียนรู้" ... เช่น

     2.1) เด็กเรียนรู้ที่จะเดิน ... --> Your son is learning to walk.

     2.2) ฉันเรียนรู้ว่าแฟนฉันเขาไม่ชอบกินซุป ... --> I have learned that my boyfriend doesn't like soup.


3.) ใช้ Have class / V. to BE + in class ... เช่น

     2.1) เช้านี้ฉันตื่นเช้าเพราะฉันต้องไปสอนหนังสือ (ในฐานะครู) ... --> I got up early this morning because I had class.

 

     2.2) ฉันยังคุยโทรศัพท์ไม่ได้เพราะตอนนี้ฉันเรียนหนังสืออยู่ (อยู่ในชั้นเรียน) ... --> I cannot talk on the phone right now because I'm in class.

 

หมายเหตุ: ควรรู้จักคำกริยาเพิ่มเติม คือ to take/have/do a lesson (s) ... เช่น

     - She can sing very well without taking singing lessons. (หล่อนสามารถร้องเพลงได้เป็นอย่างดีโดยไม่ได้เรียนร้องเพลงเลย)

     - Shall we do the lesson in the afternoon, instead? (เรานัดเรียนกันตอนช่วงบ่ายแทนจะดีมั้ย)

guest

Post : 2012-12-14 10:57:06.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Wear กับ Put On แปลต่างกัน

ตอนเด็กๆ ที่ผมเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน เคยได้รับการสอนว่า Wear กับ Put On มีความหมายเหมือนกัน ... หลังจากที่เข้าใจมากขึ้น หลังจากได้ไปเรียนต่างประเทศและสังเกตจากเพื่อนชาวอเมริกัน จึงเข้าใจว่า Wear กับ Put On แปลต่างกัน

Wear หมายถึง "มี ... (เช่น เสื้อผ้า วิกผม เครื่่องสำอาง หรืออะไรก็ได้ที่ใส่หรือทาอยู่บนตัวเราได้) อยู่บนร่างกาย"

Put On หมายถึง "เอาเสื้อผ้าหรือของต่างๆเข้ามาสวมใส่บนร่างกายของเรา"

จากนี้ไป อย่าใช้ผิดอีกนะครับ ... เช่น ที่ถูกต้อง ควรใช้ว่า

1.) I am wearing make-up.  แปลว่า "ตอนนี้ มีเครื่องสำอางอยู่บนหน้าฉัน" (= "ก็ตอนนี้ ฉันแต่งหน้าอยู่แล้วอ่ะ")

2.) I am putting on my make-up.  แปลว่า "ตอนนี้ ฉันกำลังเขียนคิ้ว ทาปาก อยู่"

3.) Thai people do not wear shoes in their homes.  แปลว่า "คนไทยเขาไม่ใส่รองเท้าเดินในบ้านกันหรอก"

[* หมายเหตุ: ใช้ "Home" ได้ เพราะในหลายๆ เหตุการณ์ ฝรั่งเขาก็ใช้ Home แทนคำว่า House ได้ เมื่อหมายถึง "บ้านที่เราอาศัยอยู่"]

4.) Put your shoes on and go to school.  แปลว่า "(เช่น แม่สั่งลูก) ใส่รองเท้าซะนะลูก แล้วก็ไปโรงเรียน"

หวังว่าพอเข้าใจขึ้นบ้างนะครับ

guest

Post : 2012-12-07 10:54:32.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Do กับ Make ใช้ต่างกันอย่างไร

Do กับ Make แปลว่า "ทำ" ทั้งคู่ แต่ใช้ต่างกัน

Do "ทำ" ที่ใช้กับ งาน การบ้าน งานบ้าน โครงงานต่างๆ เช่น

1. I have to do my homework every day.

2. Can you do these chores for me?

 

Make "ทำ" ที่ใช้ในความหมายว่า สร้าง ผลิต หรือทำให้เกิดขึ้นมาใหม่ เช่น

1.) My mother made vegetable soup for me today.

2.) At school, I have made a lot of friends.

guest

Post : 2012-12-03 17:27:29.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  House กับ Home ต่างกันอย่างไร

          ในภาษาไทย เขาแปลกันว่า House กับ Home ว่า "บ้าน" เหมือนกัน ... แต่ในภาษาอัีงกฤษเขาคิดแตกต่างกันนะ ... คือถ้า House นี่ เขาหมายความถึง ตัวบ้านที่เป็นตึก เป็นไม้ เป็นมุงจาก อะไรก็ว่าไป .. แต่ Home เนี่ย เขาหมายถึงบ้านในความรู้สึก บ้านที่มีความอบอุ่นมีความผูกพัน รับสอนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว โทร 081-440-5980 (อ.พิบูลย์)

guest

Post : 2012-11-28 11:14:46.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เลือกเรียนกับครูฝรั่งหรือครูคนไทย?

การเรียน-การสอนของแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันในด้านวิธีการสอน (อันที่จริงแล้วเนื่้อหาที่สำคัญๆ ก็น่าจะคล้ายๆกัน) เพราะฉะนั้น ถ้าผู้เรี ยนเห็นว่าวิธีการสอนแบบไหนที่น่าจะเหมาะกับตัวเอง ก็น่าจะเลือกผู้สอนและวิธีการสอนที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด ... มีหลายคนมักคิดว่า การเรียนกับเจ้าของภาษาคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ถ้าเจ้าของภาษาที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทย และวิธีการคิดแบบคนไทย เขาก็อาจจะทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจแบบลึกซึ้งได้ และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ ตัวผู้เรียนเอง ซึ่งยังไม่เข้าใจภาษาอังกฤษดีเลย พอไปฟังอาจารย์เจ้าของภาษาอธิบายเรื่องที่ซับซ้อน แล้วผู้เรียนจะไปเข้าใจได้อย่างไร ในเมื่อภาษาของเขา เรายังฟังไม่ค่อยออกเลย ... หรืออีกแบบหนึ่งก็คือการเลือกเรียนกับครูคนไทย เพราะทุกวันนี้ มีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษอยู่เยอะมาก มีทั้งราคาถูกและแพง ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าจะต้องมีครูที่เก่งมาก-เก่งน้อยคละเคล้ากันไป ที่รู้จริงและรู้ไม่จริงคละเคล้ากันไป ... ตัวผู้เรียน ซึ่งยังมีความรู้ไม่เยอะ จะเลือกคนสอนได้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเลือกดีก็ดีไป ถ้าเลือกไม่ดีก็เสียเงินและเสียเวลาเปล่า .. และถ้าการเรียนที่ถูกวิธีจริงๆแล้ว มันก็ไม่น่าจะใช้เวลานานอะไร แค่เราเรียนไปกับเขาครั้งเดียวหรือสองครั้ง เราก็ควรจะบอกได้แล้วว่า คนที่สอนเราอยู่นั้น ใช่คนที่เหมาะสมหรือเปล่า

ลองพิจารณาตามวิจารณญานส่วนตัวดูนะครับ เราจะเรียนที่ไหนก็ได้ที่เราเลือกแล้วว่าดีที่สุด

สำหรับผู้ที่สอบถามเรื่องอัตราค่าสอนก็คือ

1. ถ้าเรียนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (เรียนครั้งละ 3 ชั่วโมง) ภายในหนึ่ง-สองเดือนก็น่าจะเพียงพอแล้ว สำหรับการเรียน-การสอนในวิธีที่ผมใช้ .. ผู้เรียนอาจจะยังไม่ได้เก่งกาจอะไรในระหว่างที่เราเรียนกัน แต่ผู้เรียนก็จะรู้วิธีที่จะไปฝึกฝนต่อ ได้ด้วยตัวเอง คือผมจะเน้นให้ผู้เรียนสามารถเป็นครูของตัวเองได้ ไม่ต้องคอยพึ่งครูผู้สอนอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ต้องมาเสียเวลาเรียนกันยาวๆ เพราะผมเข้าใจว่าผู้เรียนทุกคนก็ต้องการบรรลุผลในเวลาที่เร็วที่สุด จ่ายน้อยที่สุด ... บางคนเรียนแค่เดือนเดียว (บางคนอาจนานหน่อย ถึงสองเดือน) ... เรียนเดือนเดียว (8 ครั้ง, รวม 24 ช.ม.) ราคา 15,000-18,000 บาท/เดือน (ขึ้นกับระยะทางที่ต้องเดินทางไปสอน ... ผู้สอนอยู่แถวๆ สะพานพระราม 7 ใกล้ๆกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือ กฟผ.) ... เรียนด้วยความถี่ประมาณนี้ น่าจะได้ผลเร็วหน่อย

2. ถ้าว่างเรียนแค่สัปดาห์ละครั้ง ก็จะใช้เวลานานขึ้นเป็นสองเท่า หรืออาจจะนานกว่านั้น เพราะเว้นช่วงยาว ผู้เรียนส่วนใหญ่อาจจะลืมบทเรียนและต้องใช้เวลาย้อนทบทวนในแต่ละครั้ง ซึ่งอาจทำให้เสียเวลานานกว่าการเรียนด้วยความถี่แบบแรก (คือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง) ... ถ้าไม่ว่างจริงๆ สามารถเรียนได้แค่สัปดาห์ละครั้ง ก็อาจใช้เวลา 2-4 เดือนหรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งก็ต้องขึ้นกับความมุ่งมั่นของผู้เรียน สำหรับค่าเรียนแบบนี้คือ 8,000-9,500 บาท/เดือน ขึ้่นกับระยะทางใกล้-ไกล

ถ้าสงสัยอะไรก็เขียนอีเมล์มาที่ piboon11@yahoo.com หรือ โทร. มาที่ 081-440-5980 ได้เลยครับ ... พิบูลย์

처음 이전 ... 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 다음 끝