Support
www.thaibizsolutions.com
095-979-9890
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2015-03-19 21:45:26.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เวลาใช้ English แล้วต้องมีคำว่า Language มั้ย

เวลาที่คุณจะถามชาวต่างชาติว่า “คุณพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย” หรือ “คุณพูดไทยได้มั้ย” เนี่ย คุณควรพูดว่า

1.)  Do you speak English? คุณพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย (ไม่ควรใช้ว่า Can you speak English?)

 

Do you speak English? มันจะหมายความรวมถึงว่า “คุณพูดภาษาอังกฤษรู้เรื่องใช่มั้ย” ด้วยนะครับ ดังนั้นคุณจึงควรเลือกใช้ให้ถูก 

 

คำว่า “ได้มั้ย” ในประโยคข้างต้นมันช่างยั่วยวนให้คนไทยเราคิดถึงคำว่า Can you … เสียเหลือเกิน แต่เนื่องจากว่า เวลาที่เราถามคนๆหนึ่งว่า “คุณพูดภาษา ... ได้มั้ย” เนี่ย ในความรู้สึกของคนไทยเรา เราจะหมายถึงว่า “ในชีวิตประจำวันของคุณเนี่ย คุณพูดภาษาอังกฤษมั้ย คือพูดภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสื่อสารรู้เรื่องมั้ยนั่นเอง”

 

แต่ถ้าคุณไปใช้ว่า Can you speak English? มันจะเป็นการถามถึงความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ เช่นถ้าคนๆนั้นเขาพูดชัดแค่สองสามคำ เขาก็สามารถจะตอบว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษได้” ก็ได้ ซึ่งประโยคนั้นก็คือ Yes, I can speak English.

 

2.)  แต่ถ้าคุณอยากไปถามฝรั่งว่า “คุณพูดไทยได้มั้ย” คุณอาจจะถามว่า Can you speak Thai? ได้ เนื่องจากคุณถามถึงความสามารถของเขา ซึ่งคำถามแบบนี้ ผู้ถามจะไม่ได้คาดหวังว่าผู้ตอบจะพูดภาษาไทยเป็นไฟหรอกนะ (เขาอาจจะคาดหวังแค่ประโยคง่ายๆ หรือคำง่ายๆ แค่ไม่กี่คำ หรือไม่กี่ประโยคเท่านั้น)

 

แต่ถ้าคุณถามเขาว่า Do you speak Thai? มันจะหมายถึงว่า “คุณเป็นคนที่พูดภาษาไทยที่ใช้ในการสื่อสารในชีวิตของคุณใช่มั้ย” ซึ่งก็หมายความรวมถึงว่า คุณพูดภาษาไทยรู้เรื่องใช่มั้ย

 

และขอแถมให้หน่อยนะครับ คือว่า เวลาที่เราจะใช้คำว่า “ภาษาอังกฤษ” เนี่ย คุณใช้แค่คำว่า English คำเดียวก็พอ (ไม่ต้องต่อท้ายด้วยคำว่า Language) แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณมีคำว่า Language มาต่อท้าย เมื่อนั้นคุณต้องมีคำว่า The มาอยู่ข้างหน้าสุดเสมอ เช่น

 

1.)  I study English with Teacher Bruce. ผมเรียนภาษาอังกฤษกับอาจารย์บรูซ

2.)  How old is the English language? ภาษาอังกฤษเนี่ยมันมีมานานกี่ปีแล้วอ่ะ

 

ขอให้ทุกท่านฝึกภาษาอังกฤษกันทุกวัน ฝึกด้วยความรู้สึกดีๆกับมัน แล้วคุณก็จะได้สิ่งดีๆกลับไปอย่างแน่นอนครับ (ผมพิสูจน์มาแล้ว)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก ThaiBizSolutions.com และ NakedEnglish.net

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2015-02-27 21:24:11.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ฝึกพูดภาษาอังกฤษจากเรื่องสนุกๆ

 มาฝึกคิดและฝึกพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษจากชีวิตประจำวันกันต่อนะครับ

 

ผมจะให้คุณดูสถานที่อีก 4 แห่ง ที่มีรูปปั้นที่ดูมีความคิดสร้างสรรค์อย่างมากๆ ในประเทศต่างๆ รอบโลกกันต่อครับ

I’m going to show you another 4 of the most creative statues from around the world.

 

รูปแรกในวันนี้ (บนซ้าย) ก็คือ “(วิถีชีวิต)ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับแม่น้ำ โดยศิลปินชื่อ ชองฟาเชียง” ในประเทศสิงคโปร์

The first one (upper left) is “People of The River” by Chong Fah Cheong”, in Singapore.

 

รูปที่สอง (บนขวา) ก็คือ “การค้นพบสิ่งใหม่ๆ จากบล็อคแม่พิมพ์” ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพ็นซิลเวเนีย

The second one (upper right) is “Break-Through from Your Mold”, in Philadelphia, Pennsylvania.

 

ผมเคยไปฟิลาเดลเฟียสองครั้งแล้ว แต่จำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นรูปปั้นนี้หรือเปล่า

I’ve been to Philadelphia twice but am not sure whether I saw that statue.

 

รูปที่สาม (ล่างซ้าย) ก็คือ “นักเดินทาง” ที่เมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส

The third one (lower left) is “Les Voyageurs”, in Marseilles, France.

 

รูปนี้สุดยอดมากเลย มันดูเหมือนกับว่าส่วนบนของรูปปั้นมันลอยอยู่ในอากาศแน่ะ

This one is so magnificent.  It looks like the upper part of the statue is floating in the air.

 

รูปสุดท้าย (ล่างขวา) คือ “รูปปั้นฮิปโป” ในเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน

The last one (lower right) is the “Hippo Sculptures” in Taipei, Taiwan.

 

ใครจะไปคิดว่า พื้นลานธรรมดาๆ ในสวนสาธารณะจะดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวจากรอบโลกได้มากขนาดนี้

Who’d ever thought that a floor of a park would draw so much attention from tourists around the world?

 

ลองฝึกพูดเรื่องอื่นๆไปทุกวันนะครับ เอาเรื่องที่เราชอบ เรื่องสนุกๆ อะไรก็ได้มาฝึก เพื่อที่เราจะได้เก่งภาษาอังกฤษกันเร็วๆ แต่ทีสำคัญคือ อย่าฝึกพูดแบบมั่วๆ หรือแบบผิดๆ เพราะเราจะจำของผิดติดตัวไป เราควรจะรู้วิธีการคิดเป็นฝรั่งอย่างถูกต้องก่อน จึงจะเอามาฝึกโดยการพูดเองคนเดียวได้

 

ขอเอาใจช่วยทุกท่านครับ

... อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2015-02-18 21:30:12.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เทคนิคฝึกเพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษ

 เทคนิคฝึกเพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษ

ถ้าเราอยากเก่งภาษาอังกฤษจริงๆเนี่ย เราควรรู้หลักหรือเทคนิคการคิดเป็นฝรั่งก่อน แล้วเมื่อเรารู้หลักที่ถูกต้องแล้ว เราก็เอามาพูดโดยเริ่มต้นแบบช้าๆก่อน (เน้นให้ถูกเป็นอันดับแรก) แล้วพอมันคล่องแคล่วแล้ว ก็ค่อยพูดให้เร็วขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ (อย่าฝึกพูดมั่วๆเองนะครับ เพราะถ้าทำแบบนั้น ถึงแม้จะคล่องจริง แต่ถ้ามันผิด เราก็ฟังดูไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าที่ควร)

ตัวอย่างเช่น เวลาเราเห็นรูปที่เพื่อนเราส่งมาให้ดูทางอีเมล์ แล้วเราก็เอามาพูดกับตัวเองคนเดียวก็ได้ (ไม่จำเป็นต้องรอให้มีฝรั่งมาเป็นเพื่อนเราก็ได้) มาเริ่มแปลกันเลยนะครับ

 

วันนี้ผมเอารูปภาพที่เป็นรูปปั้น 4 รูป (จากทั้งหมด 22 รูป) จากทั่วโลกที่เขาว่ากันว่าดูมีความคิดสร้างสรรค์อย่างสุดยอดมาให้คุณดู

แปล: Today, I’m showing you 4 of the most creative statues around the world.

 

รูปแรกคือ รูปปั้นชื่อ The Monument of An Anonymous Passerby อยู่ในเมืองโรว์คลอว์ ประเทศโปแลนด์ เป็นอนุสาวรีย์รูปผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน ผู้ซึ่งเราไม่รู้จักชื่อเขา

แปล: The first picture is the Monument of An Anonymous Passerby, Wroclaw, Poland.

 

รูปปั้นรูปที่ 2 มีชื่อว่า Salmon Sculpture (แปลว่า รูปแกะสลักปลาแซมอน) อยู่ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริก็อน ประเทศสหรัฐอเมริกา

แปล: The second statue is called the Salmon Sculpture in Portland, Oregon.

 

รูปที่ 3 คือ Mustangs (แปลว่า ม้าป่าขนาดเล็ก) อยู่ในเมือง Las Colinas, รัฐ Texas ประเทศสหรัฐอเมริกา

แปล: The third one is Mustangs in Las Colinas, Texas.

 

ชื่อของรูปสุดท้ายนี้คือ Expansion (แปลว่า การแผ่ขยายให้กว้างขึ้น) อยู่ในเมืองและรัฐ New York ประเทศสหรัฐอเมริกา

แปล: The name of the last one is Expansion.  It is in New York.

 

 รูปที่เหลือจะเอามาให้ดูในครั้งต่อๆไปนะครับ

แปล: The rest will be shown at later times.

 

ด้วยความปรารถนาดี

แปล: Best wishes,

อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2015-02-02 21:33:59.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เคล็ดลับง่ายๆ ในการเขียนภาษาอังกฤษ (อย่างเป็นทางการ)

 เคล็ดลับง่ายๆ ในการเขียนภาษาอังกฤษ (อย่างเป็นทางการ)

ที่ 99% ของคนไทย “ไม่รู้” และ “ไม่เคยมีใครบอก”

 

เวลาที่เราเขียน “ประโยคบอกเล่า” ภาษาอังกฤษจบลง เราต้องใส่ “จุดจบประโยค” (คนอังกฤษเรียก “full stop” ส่วนคนอเมริกันเรียก “period”)

แล้วระหว่างคำในประโยค เราต้องเคาะ space bar 1 ที

 

แต่ สิ่งที่ 99% ของคนไทย ไม่รู้และไม่เคยถูกสอนมาเลย ก็คือ ... ระหว่าง “ประโยค” กับ “ประโยค” เราต้องเคาะ space bar 2 ครั้ง ยกตัวอย่างเช่น

It was very hot today.  I didn’t want to go outside my office.  My friend bought me lunch and we ate in the meeting room.

วันนี้อากาศร้อนมาก ฉันไม่อยากออกไปนอกออฟฟิศเลย เพื่อนฉันเขาซื้อข้าว(เที่ยง)มาฝากและเราก็กินกันในห้องประชุม

 

นี่แหละครับคือหลักการเขียนอย่างเป็นทางการที่ถูกต้อง เวลาที่เรามองหน้ากระดาษจากไกลๆ เราก็จะเห็นว่า ระหว่างคำกับคำ มันจะแคบหน่อย คือห่างกันแค่ 1 space bar

 

แต่ระหว่างประโยคกับประโยคเนี่ย มันจะห่างกันกว้างหน่อยคือ 2 space bars ซึ่งมันจะทำให้ผู้อ่าน อ่านง่าย และดูเป็นระเบียบ ทำให้เราแยกแยะออกได้ง่ายว่า ประโยคแต่ละประโยคยาวแค่ไหน เพราะในหนึ่งประโยคมันจะเป็นการแสดงหนึ่งไอเดียของผู้พูด (หนึ่งแนวคิด หรือหนึ่งเรื่องที่ต้องการจะสื่อสาร)

 

แต่สำหรับการเขียน Line หรือ WhatsApp เราอาจจะเว้นแต่ละประโยคแค่ 1 space bar ไปก็ได้ เพราะเนื่องจากหน้าจอโทรศัพท์มันเล็ก ถ้าเราไปเว้น 2 space bars แบบการเขียนจดหมายหรืออีเมล์อย่างเป็นทางการเนี่ย มันจะทำให้เปลืองที่ และต้องคอยขึ้นบรรทัดใหม่บ่อยๆ

 

แต่ถ้าเราอยากจะฝึกไว้ให้เคยชิน เราก็สามารถเว้น 2 space bars ระหว่างประโยคกับประโยค บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ (ตอนส่ง Line หรือ WhatsApp) ก็ได้

 

และห้ามลืมเป็นอันขาดเลยนะครับ คือเวลา “จบประโยคบอกเล่า” เราต้องใส่ “จุด period” ด้วย

เวลาจบประโยคคำถาม เราก็ต้องใส่ “เครื่องหมายคำถาม” ( ? )

หรือจบ “คำอุทาน” เราก็ต้องใส่ “เครื่องหมายตกใจ” ( ! )

 

แต่ถ้าสิ่งที่เราเขียนเป็นเพียงคำๆเดียว หรือเป็นเพียงแค่กลุ่มคำ (ที่ไม่ใช่ “ประโยค” เต็มรูปแบบ คือมี “ประธาน” + “กริยา” + “กรรม”.) เราถึงจะไม่ต้องใส่เครื่องหมาย period

 

แต่อย่างเวลาเราจะใส่ว่า “ขอบคุณ” Thank you. เรา “ต้องใส่จุดจบประโยค” ด้วย เพราะมันคือประโยคที่เต็มรูปแบบ มาจากเต็มๆ ว่า I thank you. (ฉันขอขอบคุณคุณนะ) แต่เนื่องจากเขาละคำว่า “ฉัน” (I) ไป มันก็เลยเหลือแค่ Thank you.

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก ... (และ) เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2015-01-09 18:12:57.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เทคนิคการพิมพ์ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง: อีเมล์, Chat, SMS

 ในการพิมพ์ Chat ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นทาง Line, WhatsApp หรือ SMS ก็ตาม เนื่องจากว่าทุกวันนี้ประเทศไทยของเราก็เริ่มทำธุรกิจกันแบบ International กันมากขึ้น ดังนั้นถ้าในทุกๆวัน เราเขียนหรือพิมพ์ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องจนเป็นนิสัย มันก็น่าจะเป็นประโยชน์กับการใช้ในงานหรือในธุรกิจของเราไม่มากก็น้อย รวมถึงยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของชาวต่างชาติที่มองคนไทยและประเทศไทยว่ามีการใช้ภาษาอังกฤษได้มาตรฐานมากขึ้นด้วย

 

เรามาช่วยๆกันนะครับ เพราะทุกวันนี้ ภาษาอังกฤษของคนไทยเรา ใช้กันผิดเยอะมากๆ เรามาช่วยกันพัฒนาโดยเริ่มต้นจากตัวเราก่อน เมื่อตัวเราดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวเราก็จะช่วยคนอื่นได้ และจะช่วยพัฒนาประเทศชาติได้ต่อไปครับ

 

ในการพิมพ์ภาษาอังกฤษทาง SMS หรืออีเมล์ หรือว่าในการ Chat กันก็ตาม มีกฎสำคัญๆ ไม่กี่ข้อ ดังนี้ครับ

 

1.) เวลาขึ้นต้นประโยค เราต้องพิมพ์ด้วยตัว “พิมพ์ใหญ่” เช่น My boss will not come to the office today. (วันนี้เจ้านายฉันไม่เข้าที่ทำงานนะ) คำต่างๆ โดยทั่วไป เมื่ออยู่ในประโยคก็พิมพ์เป็นตัวเล็กหมด ยกเว้น คำว่า “ฉัน” (I) จะต้องพิมพ์ด้วย “ตัวใหญ่” เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหน และนอกจากนั้น คำที่เป็น “ชื่อเฉพาะ” เช่น ชื่อคน, ชื่อประเทศ, ชื่อสถานที่ ฯลฯ ก็ต้องพิมพ์ด้วยตัวใหญ่เสมอเช่นเดียวกัน

 

2.) เวลาจบประโยคที่เป็นประโยคบอกเล่าต้องใส่ “เครื่องหมายวรรคตอน” เช่น “จุด full-stop หรือ period( . ) เช่น ประโยคข้างบน My boss will not come to the office today.

 

 

3.) แต่ถ้าจบประโยคที่เป็น “คำถาม” ให้จบด้วยเครื่องหมาย “คำถาม หรือ Question Mark  ( ? ) เช่น Will your boss come to the office today? (วันนี้เจ้านายของเธอจะเข้าที่ทำงานมั้ย) ... หรือ What time is it? (นี่กี่โมงแล้วเนี่ย)

 

4.) ถ้าส่วนที่เราเขียน มันไม่ใช่ประโยคที่สมบูรณ์ หรือเป็นการแสดงความรู้สึก เราก็สามารถจบประโยคด้วยเครื่องหมาย “ตกใจ หรือ Exclamation Mark/Point( ! ) เช่น Good job! (เป็นผลงานที่ดีนะ) หรือ Good morning! หรือ Hello!

กรุณา “อย่าขึ้นต้นประโยคโดยใช้ตัวพิมพ์เล็ก” และ “อย่าจบประโยคแล้วขึ้นประโยคใหม่ โดยไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน”

 

เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง <www.ThaiBizSolutions.com>

guest

Post : 2014-12-19 18:32:51.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ฝึกเขียนการ์ดอวยพรวันปีใหม่เป็นภาษาอังกฤษ

ในช่วงวันเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่นี้ เรามาฝึกเขียนคำอวยพรภาษาอังกฤษเอาไว้ใช้ ส่งบัตรอวยพรเป็นภาษาอังกฤษกันนะครับ ผมเลือกมา 3ประโยคให้คุณเอาไว้ใช้ปรับคำพูดกันเองนะครับ


1.) I would like to wish you a wonderful Christmas and a very healthy, happy New Year.

ผมขอให้คุณมีวันคริสต์มาสที่แสนวิเศษและวันปีใหม่มีความสุขสดชื่นและเป็นปีใหม่ที่คุณจะมีสุขภาพดีด้วยนะครับ


2.) May your New Year be filled with great joy and endless happiness!

ขอให้ปีใหม่ของคุณจงเต็มไปด้วยความยินดีสนุกสนานและความสุขที่ไม่มีวันหมดนะครับ


3.) I would like to wish you and all your loved ones a delightful New Year and many more to come.

ผมขอให้คุณและทุกคนที่คุณรัก จงมีปีใหม่ที่น่ายินดี รวมทั้งอีกหลายๆ ปี ที่กำลังจะเข้ามาถึงด้วยนะครับ

 

With my best & most sincere wishes,

(ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจครับ ... จาก ThaiBizSolutions.com)

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2014-12-03 18:23:15.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เรียนภาษาอังกฤษจากพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว

 เรียนภาษาอังกฤษจาก “พระราชดำรัส” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผมเลือกข้อความมาจากเว็บไซต์ BrainyQuote ซึ่งลงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอาไว้เป็นภาษาอังกฤษ เราลองมาแปลกันนะครับ

A good person can make another person good; it means that goodness will elicit goodness in the society; other persons will also be good.

“คนดีหนึ่งคน สามารถทำให้คนอีกหนึ่งคนเป็นคนดีได้ นั่นหมายความว่า ความดี ก็จะดึงความดีออกมาสู่สังคม แล้วคนอื่นๆ ก็จะเป็นคนดีตามกันไปด้วย”

ผมขออนุญาตเล่าประสบการณ์ตรงที่ผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ๆกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หนึ่งครั้งในชีวิตนะครับ แบบว่าใกล้จริงๆ คือระยะไม่เกินสองเมตรครับ ท่านทรงเดินเข้ามาหาแล้วก็ตรัสในเชิงขำขันครับ ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 20 ต้นๆ เอง

คือว่าเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว (ปี พ.ศ. 2537 น่าจะได้) ผมได้มีโอกาสเข้าไปร้องเพลงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในพระราชวังสวนจิตรฯ ตอนนั้น มล. ประพันธ์ สนิทวงศ์ ท่านจัดนักร้องเข้าไปสามคนเพื่อไปร้องถวายต่อหน้าพระพักตร์ นักร้องสามคนนั้น นอกจากผมแล้วก็มี คุณวิรุจน์ สโรบล และน้องสาวของผมชื่อ วรรณิภา แจ้งสว่าง (ซึ่งเป็นนักร้องดีเด่นของสยามกลการ (คนที่ร้องเพลง “บัลลังก์เมฆ” ตอนที่รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งตอนนี้เขาเปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น KPN Awards ไปแล้ว) เพลงที่ผมร้องวันนั้นก็เป็นเพลงสากลรุ่นเก่าๆ แบบผมยังไม่เกิดเลยครับ เช่น Moon River, Tenderly, Speak Softly Love, etc. (พอดีผมร้องเพลงรุ่นใหม่ๆ ไม่เป็นครับ ก็เลยร้องแต่เพลงเก่าแบบสุดๆ เพราะโดยส่วนตัว ผมก็ชอบฟังและร้องเพลงพวกนั้นอยู่แล้ว)

พองานร้องเพลงถวายสิ้นสุดลง (น่าจะสักประมาณห้าทุ่มเศษๆ) พวกเราก็เตรียมตัวจะกลับบ้าน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเสด็จมาตรัสขอบใจพวกเราที่มาร้องเพลงถวายท่าน (โดยที่พวกเราไม่มีใครตั้งตัวมาก่อนเลย ไม่ทราบว่าท่านจะทรงเดินมาหา ... มล. ประพันธ์ ท่านมาบอกผมตอนหลังว่า ในหลวงท่านตรัสว่า “เดี๋ยวฉันจะไปขอบใจพวกเขาหน่อย”) ท่านทรงเดินมาใกล้ๆ แล้วก็ตรัสกับผมว่า “เพลงที่ร้องนั่นน่ะ เก่ากว่าอายุฉันอีก ... แต่ก็ร้องเพราะดีนะ” ผมซาบซึ้งมากๆ แล้วก็อึ้งไปเลยครับ ทำอะไรไม่ถูก ผมก็ก้มกราบท่านแล้วก็พูดว่า “ขอบคุณครับ” (เพิ่งมาเรียนรู้ทีหลังว่าควรจะพูดว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าข้าฯ”) แต่ท่านก็ไม่ได้ถือสาอะไรที่ผมพูดคำราชาศัพท์ไม่เป็นครับ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมไม่เคยลืมเลย แต่ถึงแม้สมมุติว่าผมจะไม่ได้มีโอกาสที่เข้าเฝ้าใกล้ๆ ในวันนั้น ผมก็จะยังจงรักภักดีกับท่านอย่างไม่เสื่อมคลาย ทุกวันนี้ที่เราพวกเรามีผลไม้และผักเมืองหนาวกินกันในประเทศไทย ก็เป็นเพราะท่าน, มีถนนหลายๆสาย ที่ช่วยแบ่งเบาเรื่องการจราจร ก็เป็นเพราะท่าน, มีระบบชลประทาน ระบายน้ำ มีน้ำทำการเพาะปลูก มีน้ำสะอาดดื่ม-ใช้ ก็เพราะท่าน, บ้านเมืองห่างหายจากความแห้งแล้ง ก็เพราะท่าน, ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น เลิกปลูกสิ่งที่จะมามอมเมาคนไทย ก็เพราะท่าน และยังมีอีกมากมายที่ท่านทรงทำเพื่อพวกเรา, ท่านยอมเหนื่อย ก็เพื่อให้คนไทยอยู่ดีมีสุข โดยที่ผ่านมาท่านไม่เคยมาโอ้อวดหรือโฆษณาเพื่อเอาความดีใส่ตัว เหมือนที่นักการตลาดสมัยนี้ทำกันเลย

ผมรักพระเจ้าอยู่หัวครับ

I love my King.

เขียนโดย พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2014-11-22 17:53:43.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "ขอบคุณ" ใช้ Thank you. ต้องเติม "s" หรือเปล่า

 การจะพูดคำว่า “ขอบคุณ” เป็นภาษาอังกฤษ เราจะใช้คำว่า “Thank” นั้น เราต้องเติม “s” หรือเปล่า

หลายคนคงจะเคยงง หรือบางคนก็อาจจะยังงงอยู่นะครับ ว่า “Thank” เราต้องเติม s หรือไม่เติมกันแน่ อันที่จริงก็คืออย่างนี้ครับ

คำว่า “Thank” เป็นได้ทั้ง “คำนาม” และ “คำกริยา”

1.) ถ้าเราใช้ “Thank” เป็น “คำนาม” ซึ่งฝรั่งเขาใช้กันแบบเป็น “คำนามนับได้” หมายถึง/แปลว่า “คำขอบคุณ” ดังนั้น เวลาเราจะพูดขอบคุณใคร ถ้าเราประสงค์จะใช้มันแบบ “คำนาม” เราก็ต้องเติม “s” ด้วย เพราะเนื่องจากว่า ฝรั่ง เวลาที่เขาจะส่ง “คำนามนับได้” ไปให้ใคร เขาจะส่งแบบ “เยอะๆ หรือว่า เกิน 1 ชิ้น” เสมอ ดังนั้น เราก็จะใช้ว่า “Thanks!”

 

2.) ถ้าเราใช้ “Thank” เป็น “คำกริยา” เขาก็จะต้องใส่ “กรรม” ตามหลังมาด้วย โดยการพูดแบบเต็มประโยคก็คือ I thank you. แปลว่า “ผมขอบคุณคุณ” ดังนั้น เวลาเขาพูดแบบย่อๆ เขาก็จะละประธาน คำว่า “ฉัน” หรือ I เอาไว้ มันก็เลยเหลือแค่ Thank you.

 

สรุปว่า เราจะใช้ Thank you. หรือ Thanks! ก็ได้ โดยที่หน้าที่ของคำมันเป็นคนละหน้าที่กันโดยสิ้นเชิงเลยครับ

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง www.ThaiBizSolutions.com

guest
ณพิชญา
- Guest -

Post : 2014-11-10 17:29:57.0     Forum: สอบถาม  >  อยากสอบถามค่าสอนค่ะ

อยากทราบค่าใช้จ่ายในการเรียนและวันเวลาค่ะ

guest

Post : 2014-10-17 17:45:47.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำที่คนไทยใช้ผิดกันเยอะ & ผิดบ่อยๆ - “join the meeting”

คำที่คนไทยใช้ผิดกันเยอะ & ผิดบ่อยๆ - “join the meeting”

ศัพท์ธุรกิจ1: วันนี้ผมเข้าร่วมประชุมไม่ได้นะ

 

มีคนไทยตามบริษัทต่างๆ จำนวนมากพูดว่า I can’t join the meeting today. ซึ่งผิด

ที่ถูกเราต้องพูดว่า I can’t attend the meeting today.

 

เพราะคำว่า join แปลว่า “เข้าร่วม (โดยที่ตัวเราเข้าผสมปนเป เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขา) เช่น

ที่โรงอาหาร เราซื้อข้าวมา แต่หาที่นั่งไม่ได้ แล้วเราถามเพื่อน 3-4 คนที่นั่งอยู่ว่า “ขอฉันนั่งด้วยคนได้มั้ย” Can I join you?  (แบบนี้ ใช้ถูกต้อง)

 

แต่ attend แปลว่า “เข้าร่วม” (ในความหมายว่า เข้านั่งฟังการประชุมหรือการสัมมนา / เข้าร่วมฟังคอนเสิร์ตหรืออีเว้นท์ต่างๆ เช่น

“เมื่อคืนฉันไปดูคอนเสิร์ตของ Akira กับแม่ของฉัน” I attended the Akira concert with my mother last night.  (แบบนี้ ใช้ถูกต้อง)

จากนี้ไป ถ้าเราเจอเพื่อนๆ ของเราใช้ผิด ก็ฝากบอกๆ กันด้วยนะครับ เพื่อให้คนไทยเข้าสู่ AEC อย่างเต็มภาคภูมิไม่อายต่างชาติ

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง <www.ThaiBizSolutions.com และ www.NakedEnglish.net>

guest

Post : 2014-09-18 14:56:06.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ประโยคสำเร็จรูปภาษาอังกฤษ สำหรับ chat ทาง Line

เรามาดูประโยคสำเร็จรูปแบบง่ายๆ เพิ่มเติม ที่เราสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันกันต่อนะครับ

 

เซฟเอาไว้ใช้ตอบ Line หรือ ตอบอีเมล์ หรือใช้พูดแบบง่ายๆ ในชีวิตประจำวันก็ได้

 

1.) (ใช้ทักทาย สามารถใช้เป็นประโยคเริ่มต้นของวัน เพื่อเอาไว้ถามสารทุกข์สุกดิบ) สถานการณ์ฝั่งคุณ เป็นยังไงบ้าง

How is it going?

 

2.) (ตอนกำลังจะพักเที่ยง) เดี๋ยวคุณจะไปกินข้าวที่ไหน (หรือว่ากินอะไร นั่นเอง)

What are you having for lunch?

 

3.) ไปกินข้าว(เที่ยง) ร้าน Nexxt กัน

Let’s go to Nexxt for lunch.

 

4.) (ถามถึงความตั้งใจเรื่องจะไปดูหนัง) นี่คุณอยากไปดูหนังหรือเปล่าเนี่ย

Are you up for a movie?

 

5.) แล้วคุณอยากไปดูหนังเรื่องอะไรล่ะ

Which movie would you like to see?

 

6.) ขอโทษทีครับ ยังคุยไม่ได้ เพราะผมขับรถอยู่

Sorry, I cannot talk right now. I’m driving.

 

7.)  (เวลาดูหนังอยู่ในโรงภาพยนตร์ แล้วมีโทรศัพท์ดังขึ้น เราควรส่งข้อความภาษาอังกฤษไปบอกเขาว่า) ขอโทษทีครับ ยังคุยไม่ได้ เพราะผมอยู่ในโรงหนัง

Sorry, I cannot talk right now because I’m in the theater. (คนอังกฤษ/ออสเตรเลี่ยน ใช้ว่า I’m in the cinema.)

 

8.) เดี๋ยวเอาไว้ ผมโทร.กลับไปนะ

I will call you back later.

 

9.) เดี๋ยวหยุดเสาร์-อาทิตย์ คุณจะไปทำอะไรอ่ะ

What are you doing this weekend?

 

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง <www.ThaiBizSolutions.com>

guest

Post : 2014-09-01 21:57:40.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า Live ออกเสียงว่า "ลิฟว์" หรือ "ไล้ฟว์"

 คำว่า Liveสามารถอ่านได้สองแบบคือ “ลิฟว์” หรือ “ไล้ฟว์” แต่ความหมายและหน้าที่ของคำก็ต่างกันด้วย

 

    1.) ถ้าอ่านออกเสียงว่า “ลิฟว์” จะเป็นคำกริยา (Verb) แปลว่า “อาศัยอยู่” หรือ “มีชีวิตอยู่” หรือ “ใช้ชีวิตอยู่

 

    2.) ถ้าอ่านออกเสียงว่า “ไล้ฟว์” จะเป็นคำ Adjective หรือ Adverb (คำวิเศษณ์) เอาไว้บอกลักษณะของคำนาม หรือบอกลักษณะของคำกริยา แปลว่า “สดๆ เป็นๆ ยังไม่ตาย” หรือหมายถึงรายการทีวีที่ถ่ายทอดสด

ดังนั้น Long Live the King เราก็ต้องอ่านออกเสียงว่า “ลอง ลิฟว์ เดอะ คิง” หมายถึงว่า “ขอให้พระเจ้าอยู่หัวจงเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน” นั่นเอง

 

มาดูตัวอย่างประโยคในรูปแบบอื่นกันดูครับ

ตัวอย่างต่อไปนี้ ออกเสียงว่า “ลิฟว์” เป็น “คำกริยา”

    1.) Plants can’t live without water.

ต้นไม้(พืช) (ดำรงชีวิต)อยู่ไม่ได้โดยไม่มีน้ำ (อยู่ไม่ได้ถ้าขาดน้ำ)

 

    2.) My parents live in Nongkhai.

พ่อและแม่ของฉัน(อาศัย)อยู่ที่จังหวัดหนองคาย

_______________________________________________

 

ตัวอย่างต่อไปนี้ ออกเสียงว่า “ไล้ฟว์” เป็น คำ Adjective กับ Adverb

    3.) This bar has live music every Friday night.

บาร์แห่งนี้มีวงดนตรีเล่นสดทุกคืนวันศุกร์

 

    4.) This seafood restaurant serves 2 dishes that are made from live fish.

ร้านอาหารทะเลแห่งนี้เสิร์ฟอาหารสองรายการที่ทำมาจากปลาเป็นๆ (ที่เลี้ยงไว้ในตู้ปลา)

 

    5.) Lady Gaga will perform live for the first time in 10 months.

เลดี้กาก้าจะ(เปิดการ)แสดงสดเป็นครั้งแรกในรอบสิบเดือน

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (www.ThaiBizSolutions.com)

guest

Post : 2014-08-26 09:12:53.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า

 คำว่า “ยกเลิก” พวกเราเคยเห็นคำที่สะกดคล้ายๆ กัน แต่หน้าตาของคำต่างๆ มันต่างกันไปเล็กน้อย ถ้าคนที่เขาคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษดี เขาก็จะไม่สงสัยกันเลยครับ แต่ถ้าภาษาอังกฤษของเรายังไม่แข็ง เราก็อาจจะงงได้ (ใช่ไหมครับ)

เรื่องของเรื่องก็คือว่า “เราต้องมีความเข้าใจเรื่อง คำชนิดต่างๆ หรือ Parts of Speech ให้ดีนั่นเอง”

ดังนั้น คำที่เราเห็นอยู่ในรูปภาพประกอบนี่ มันก็คือคำที่แปลว่า “ยกเลิก” ในบทบาทหน้าที่ของคำที่แตกต่างกันไปนั่นเองครับ มาเริ่มกันเลยครับ

1.)         Cancel เป็นคำกริยา แปลว่า “ยกเลิก” เป็นคำกริยาที่ต้องการกรรมมาตามหลังด้วย (เช่นว่า ยกเลิกอะไรสักอย่างหนึ่ง)

 

2.)         Cancel เติม +ed เพื่อทำเป็น Verb (กริยา) ช่อง 2 หรือช่อง 3 (หน้าตาของทั้งสองช่อง มันบังเอิญเหมือนกันพอดี) เมื่อใช้เป็นช่อง 2 เขาก็จะเอาไปใช้ในการพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ส่วนถ้าเป็นช่อง 3 เขาก็จะเอาไปใช้ในสองรูปแบบคือ เหตุการณ์ที่เป็น Perfect Tense และเหตุการณ์ที่หมายถึง “ถูกยกเลิก” (เป็นเรื่อง Passive Voice)

 

ในการที่จะเติม ed เข้าไปนั้น ฝรั่งที่เป็นคนอังกฤษ-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์-แคนาดา เขาจะเพิ่มตัว L เข้าไปอีกหนึ่งตัว ส่วนคนอเมริกัน บางคนก็เพิ่ม บางคนก็ไม่เพิ่ม (แต่ส่วนใหญ่คนอเมริกัน เขาจะไม่เพิ่มตัว L กัน) หน้าตาของมันก็จะเป็น Canceled หรือ Cancelled

 

3.)         Cancel เวลามาเติม +ing เข้าไป ฝรั่งที่เป็นคนอังกฤษ-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์-แคนาดา เขาจะเพิ่มตัว L เข้าไปอีกหนึ่งตัว ส่วนคนอเมริกัน บางคนก็เพิ่ม บางคนก็ไม่เพิ่ม (แต่ส่วนใหญ่คนอเมริกัน เขาจะไม่เพิ่มตัว L กัน) ดังนั้น มันก็จะเป็น Canceling หรือ Cancelling ก็ได้

 

เวลานำไปใช้ เขาก็จะเอาไปใช้ในสามลักษณะใหญ่ๆ คือ

3.1) ใช้คู่กับ Verb to be ในเหตุการณ์ที่เป็น Continuous (หรือ Progressive) Tense ในความหมายที่ว่า “กำลัง(จะ)ยกเลิก”

 

3.2) เอาไปใช้เป็น Present Participle ก็คือเอาไปใช้เป็น “คำกริยา” ที่แปลว่า “ยกเลิก” (ตามความหมายปกติของมันนั่นแหละ) แต่มันเป็นรูปแบบการใช้ในประโยคที่ไม่ต้องแสดง Tense (ผมรับรองว่า ถ้าผมพูดถึงตรงนี้ ต้องมีคนร่วม 80% งง และอาจจะไม่อยากอ่านต่อแล้ว เพราะเริ่มฟังผมไม่เข้าใจแล้ว ใช่ไหมครับ แต่อันที่จริงมันไม่ยากหรอกครับ ถ้าคนที่เขาได้เรียนภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องสัก 1-2 เดือนเนี่ย ผมรับรู้เขารู้เรื่องแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจตรงนี้ก็ไม่เป็นไรครับ ข้ามๆมันไปก่อนก็ได้ครับ)

3.3) และเรายังเอา Canceling นี้ไปใช้ตัวเดียวโดดๆ ในความหมายที่เป็นคำนามแสดงในเห็นอาการของการกระทำที่แปลว่า “การยกเลิก” ก็ได้ แบบนี้ฝรั่งเขาเรียกว่า “Gerund”

 

4.)         ส่วนคำว่า Cancellation ก็คือ “คำนาม” แปลว่า “การยกเลิก” แต่เป็น “การยกเลิก” ในความหมายที่เป็น “ผลลัพธ์ของการยกเลิก” นะครับ ไม่ใช่ “การยกเลิก” ในความหมายของ Canceling (ในข้อ 3.3) (ถ้าคุณงง ก็เหมือนเดิมครับ ลืมความซับซ้อนตรงนี้ไปซะ ชีวิตจะได้ไม่เป็นทุกข์)

ลองดูตัวอย่างประโยคเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นนะครับ

 

1.)         You should cancel the reservation now because I’m not going out with you. (ใช้เป็น Verb ช่อง 1)

คุณควรจะยกเลิกการจองนั่นซะตอนนี้เลยนะ เพราะว่าฉันจะไม่ไปกับคุณหรอก

 

2.)         Their customer called and canceled the order. (ใช้เป็น Verb ช่อง 2)

ลูกค้าของพวกเขาได้โทร.มายกเลิกออร์เดอร์นั่นไปแล้วอ่ะ

 

3.)         All appointments today were canceled. (ใช้เป็น Verb ช่อง 3 – Passive Voice)

นัดหมายทั้งหมดของวันนี้ได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้วนะ

 

4.)         Her father is canceling her flight to Italy. (ใช้เป็น Present Continuous Tense)

พ่อของหล่อนกำลังจะโทร.ไปยกเลิกแผนในการที่จะไปทัวร์อิตาลีของหล่อน

 

5.)         Your sister phoned my assistant yesterday, making several complaints and canceling all the orders. (ใช้เป็น Present Participle แบบที่อธิบายไว้ในข้อ 3.2)

พี่สาวคุณโทร.มาหาผู้ช่วยผมเมื่อวานนี้ ร้องเรียนหลายเรื่องแล้วยังยกเลิกออร์เดอร์ทั้งหมดด้วย

 

6.)         Heavy downpours of rain led to the cancellation of more than 30 flights out of Chiangmai. (ใช้เป็นคำนาม)

ฝนที่ตกหนักๆ มาหลายซู่ (หลายห่า หลายตลบ อะไรทำนองนั้น) ที่ตกติดต่อกันก่อให้เกิดการยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 30 เที่ยวบินที่จะออกจากจังหวัดเชียงใหม่

 

หวังว่าทุกท่านคงจะพอได้ประโยชน์กับเรื่องนี้บ้างนะครับ

อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (www.ThaiBizSolutions.com)

guest

Post : 2014-08-16 11:16:54.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  See-Watch-Look ใช้ต่างกันอย่างไร

 มีนักเรียนบางท่านถามมาว่า “มอง” หรือ “ดู” เนี่ย มันควรใช้คำไหนกันแน่ ระหว่าง See, Watch, Look

เรื่องนี้ผมก็เคยไปหาข้อมูลประกอบพร้อมทำวิจัยจากเจ้าของภาษาหลายๆ แหล่ง พร้อมกับใช้ประสบการณ์การศึกษาภาษาอังกฤษส่วนตัว แล้วขอนำมาสรุปให้ฟังแบบนี้นะครับ คือว่าทั้งสามคำนี้เป็น “คำกริยา” (Verb) ทั้งสิ้น

1.)         See = เห็น (จะมี “กรรม” มาตามหลัง หรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้าจะบอกว่า “เห็นอะไร” นั่นก็แสดงว่ามันต้องมีกรรมมาตามหลัง) หมายถึงทำนองว่า ตาไม่ได้บอด เราก็มองสิ่งนั้นเห็นได้ (พูดในแง่ของการรับรู้ ทางสายตา) รวมถึงใช้ในแง่ของการพูดถึง “การดูภาพยนตร์” ในแง่ของ “การดูภาพยนตร์เป็นเรื่องๆ ในความหมายรวมๆ ไม่ใช่การไปนั่งจ้องดูเพื่อสาระและความบันเทิงแต่อย่างใด” แบบนี้มันเป็นความรู้สึกในทำนองว่า ตาเราได้ไป “เห็น” ภาพยนตร์เรื่องนั้นมาแล้ว (รวมถึงการใช้ในความหมายเดียวกันในแง่ของประโยคปฏิเสธด้วยก็ได้) แบบนี้เราก็จะใช้ see

 

นอกจากนี้ see ยังถูกใช้ในความหมายของการ “คบหาหรือเจอกันเพื่อเป็นการออกเดทดูใจกัน” ด้วย

 

2.)         Watch = เฝ้าดู (จะมี “กรรม” มาตามหลัง หรือไม่มีก็ได้ เช่นกัน) ให้คุณเข้าใจในความหมายที่ว่า การที่คนเราจะ watch อะไรนั้น เราก็ต้องมีความตั้งใจผสมเข้าไปด้วย เช่น การที่เราเปิดทีวีดูแล้วเราก็ดูมันอยู่ หรือเหตุการณ์ขณะที่เรากำลังดูภาพยนตร์อยู่ในโรงหนัง (เรากำลังตั้งใจดูมันอยู่) หรือว่าจะใช้ในแง่ที่ว่าเราเฝ้าดูลูกเราว่ายน้ำอยู่

 

ใน Dictionary ของฝรั่ง เขาจะอธิบายรายละเอียดว่า Watch ใช้กับการเฝ้าดูสิ่งที่มันเคลื่อนที่ด้วย เช่นการดูทีวีเนี่ย ภาพที่เราดูอยู่มันเคลื่อนไหวนั่นเอง

 

3.)         Look = มอง, ดู (เป็นได้ทั้ง Verb ต้องการกรรมและไม่ต้องการกรรม แต่ถ้าจะให้นำมาอธิบายเปรียบเทียบกับคำว่า See และ Watch ในแง่ของการจะแปลว่า “มอง” หรือ “เห็น” นั้น ผมคิดว่าเรากำลังมุ่งเน้นคำว่า Look ไปในความหมายของคำกริยาที่ “ไม่ต้องมีกรรมมาตามหลัง” ดังนั้นถ้าเราจะบอกว่า “มองอะไร” หรือ “ดูอะไร” เนี่ย เราก็ต้องมี “คำบุพบท” (Preposition – เช่น in, on, at, for, etc.) มาตามหลังคำว่า Look เสียก่อน แล้วถึงค่อยมี “กรรม” มาตามหลัง Preposition คำนั้นอีกทีหนึ่ง

 

ความหมายของคำว่า Look ที่แปลว่า “มอง” หรือ “ดู” นั้น เป็นการใช้ “ลูกตา” เพื่อเจตนาในการเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง (แต่จะเห็นหรือไม่เห็น ก็ค่อยมาว่ากันทีหลัง ถูกไหมครับ) ดังนั้นเราก็จะมีคำว่า Look บวกกับ Preposition คำต่างๆ ในความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งจะขอยกแบบที่พวกเรามักเห็นกันบ่อยๆ 2 คำ ดังนี้

 

Look at = ดูหรือมองไปที่ (ของสิ่งไหนสักสิ่งหนึ่ง) เหมือนว่า ตาเราไปหยุดดูที่ของสิ่งนั้น

Look for = มองหา (ของสิ่งไหนสักสิ่งหนึ่ง)

 

ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันครับ

1.) คุณยายฉันเขามองอะไรไม่เห็นเลยถ้าไม่มีแว่นตา

My grandma cannot see anything without her glasses.

 

2.) เบ็นกับเจนกำลังออกเดทคบหาดูใจกันอยู่

Ben and Jen are seeing each other.

 

3.) เธอสามารถมองเห็นตึกใบหยกได้จากตรงนี้เลยนะ

You can see Baiyok Tower from here.

 

4.) อาทิตย์ที่แล้วคุณได้มีเวลาไปดู Iron Man หรือเปล่าคะ

ถาม: Did you get to see Iron Man last week?

ตอบ: No, I didn’t see it. (ไม่ได้ดูครับ)

 

5.) คุณมองตาฉันก็จริงอ่ะ แต่คุณไม่เคยมองเห็นฉันจริงๆ เลย

You're looking in my eyes but you don’t see me.

(ประโยคตอนหนึ่งจากเพลง We’re not makin’ love anymore ร้องโดย Barbra Streisand - in 1989)

 

6.) เขาแอบจิ๊กเอาคุกกี้ไปชิ้นหนึ่งตอนที่หล่อนไม่ทันมอง

He took a cookie when she wasn’t looking.

 

7.) (เวลามีคนโทรศัพท์มาหาเราในโรงหนัง) นี่ ขอคุยสักหนึ่งนาทีได้หรือเปล่า

Hi! Can I talk to you for a minute?

ตอบ: ไม่ได้เลย ตอนนี้ผมดู Iron Man อยู่ในโรงหนังอยู่เลย (No, I'm sorry! I’m watching Iron Man in the theater/cinema now.)

 

8.) แม่ฉันเขาชอบดูทีวี

My mom likes to watch TV.

 

9.) ฉันชอบเฝ้าดูฝูงเป็ดพวกนั้น

I like to watch those ducks.

 

10.) คุณมองเป็ดตัวนั้นทำไมอ่ะ

Why are you looking at that duck?

(เราใช้ Look เพราะเราไม่รู้ว่าเขา “ตั้งใจเฝ้าดู Watch” หรือเปล่า ดังนั้นเราก็เลยถามแค่ว่า “คุณมองมันทำไม”)

 

ขอเอาใจช่วยและขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะครับ

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2014-08-10 12:09:34.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำคมภาษาอังกฤษ "วันแม่"

ในวาระวันแม่นี้ ผมขอนำคำพูดภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับ “แม่” มาแปลในพวกเราได้ฝึกภาษาอังกฤษกันนะครับ

 

1.) That strong mother doesn’t tell her cub (Son), “Stay weak so the wolves can get you.”  She says, “Toughen up! This is reality we are living in.” (Quote by Lauryn Hill)

แปล: แม่(เช่น แม่สิงโต)ที่แข็งแกร่งไม่บอกว่า “จงอ่อนแอเข้าไว้เถอะ เดี๋ยวหมาป่าจะได้จับเจ้ากิน” ... แต่เขาจะบอกว่า “จงเข้มแข็งและอดทนเข้าไว้ นี่คือโลกแห่งความเป็นจริงที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างในมัน”

 

2.) Mama was my great teacher, a teacher of compassion, love and fearlessness. If love is sweet as a flower, then my mother is that sweet flower of love (Quote by Stevie Wonder)

แปล: แม่คือครูที่ยิ่งใหญ่ของผม ครูที่สอนให้ผมรู้จักความมีเมตตา ความรัก และความไม่ขลาดกลัว ถ้าความรักเป็นดั่งดอกไม้ที่หอมหวน แม่ของผมก็คงเป็นดอกไม้แห่งความรัก

 

3.) Dear Mom! You have given us the kind of freedom that any child would envy. (Quote by Piboon Jangsawang)

แปล: แม่ที่รักของผม แม่ได้ให้อิสระแก่ผมและลูกๆของแม่ทุกคน .. แม่ให้อิสระในทางความคิดและการใช้ชีวิตที่ไม่ว่าลูกคนไหนก็คงจะอิจฉา

 

4.) The best place to cry is on a mother’s arms. (Quote by Jodi Picoult)

แปล: สถานที่ที่ดีที่สุดที่จะร้องไห้ฟูมฟายก็คือ บนอ้อมแขนของแม่

 

5.) All that I am or ever hope to be, I owe to my angel mother.

แปล: ทั้งหมดที่ผมเป็นอยู่ และทั้งหมดที่ผมหวังว่าผมจะได้เป็น ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ผมเป็นหนี้แก่แม่ซึ่งเป็นดั่งเทพประจำใจของผม

 

ทั้งหมดนี้ แปลและเรียบเรียงโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2014-07-30 11:38:48.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >   เคล็ดลับ 3 ข้อ เพื่อเก่งภาษาอังกฤษ

 เคล็ดลับ 3 ข้อ เพื่อเก่งภาษาอังกฤษ

ในความคิดของผม ในฐานะที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าจุดหลักๆ 3 ข้อ ที่จะทำให้พวกเราเก่งภาษาอังกฤษได้ก็คือ

1.) มีความรัก-ความชอบ-ความสนใจ-ความอยาก ที่จะเรียนรู้และฝึกฝนภาษาอังกฤษ

2.) ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งก็คือความรู้สึกที่เราอยากจะพูดทุกวัน อยากจะฝึกพูดเรื่องใหม่ๆ ฝึกเล่าเรื่องต่างๆ ที่เราอยากจะเล่าให้คนอื่นฟัง

3.) เรียนรู้การใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง ทั้งการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน โดยที่ทั้งหมดนั้น ผมขอเรียกสั้นๆ ว่า “การคิดแบบฝรั่ง” หรือ “การคิดเป็นภาษาอังกฤษ” ซึ่งหลายๆ คน เขาอาจจะเรียกแบบวิชาการว่า “Grammar” (ไวยากรณ์) นั่นเอง

ถ้าคุณมี 3 อย่างนี้ ผมมั่นใจว่า คุณจะเก่งภาษาอังกฤษได้ในเวลาอันรวดเร็วแน่นอนครับ โดยเฉลี่ยสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นมาก่อนเลย ผมว่าน่าจะใช้เวลาสัก 3 เดือน ที่จะรู้วิธีการใช้ภาษาอังกฤษพื้นฐาน และพูดเรื่องเหตุการณ์ง่ายๆ ได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากคุณมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว รู้ศัพท์อยู่เยอะหน่อย ใน 3 เดือนนี้ คุณก็จะเก่งขึ้นอีกมากเลยครับ

เราขอเอาใจช่วยทุกคนให้พูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องได้ ในเวลาอันรวดเร็วครับ

 

... อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

http://www.ThaiBizSolutions.com/

guest

Post : 2014-07-25 10:26:00.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ประโยคภาษาอังกฤษ-ทักทาย+ตอบ Line (App)

วันนี้เรามาเสนอประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆ สัก 4-5 ประโยค ที่เราสามารถเก็บไว้ใช้ตอบ Line ของเพื่อนเราได้นะครับ

 

1.) ขอโทษทีนะที่รับสายเธอไม่ได้

I’m sorry I couldn’t take your call.

I’m sorry to have missed your call.

I’m sorry I missed your call.

 

2.) ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องประชุม

I am in a meeting right now.

 

3.) ฉันกำลังมีประชุมกับลูกค้าอยู่

I have a meeting with my client.

 

4.) เดี๋ยวฉันโทร.กลับไปหลังจากที่ฉันเสร็จงาน

I will call you back after I finish my work.

I will call you back as soon as I can.

 

5.) แล้วไว้คุยกันใหม่นะ

I’ll talk to you later.

I’ll talk to you again soon.

 

6.) ตอนนี้ฉันขับรถอยู่

I’m driving right now.

 

7.) ฉันกำลังเดินทางไป หรือ ตอนนี้ฉันอยู่ระหว่างทาง

I’m on my way.

I’m coming.

 

ลองเอาไปใช้ดูนะครับ ... ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง - Home of Naked English (ลาดพร้าว 112 หรือ เข้าทาง ซ. รามคำแหง 53)

guest

Post : 2014-07-18 22:16:03.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า “งาน” ใช้คำว่า Work หรือ Job

คำว่า “งาน” ใช้คำว่า Work หรือ Job

 

ความเข้าใจที่ถูกต้องที่เราควรจะมีก็คือ

1.) Work (คำนามนับไม่ได้) หมายถึง “เนื้องาน” ซึ่งเวลาใช้ เราห้ามเติม article “A” หรือ ห้ามทำเป็นพหูพจน์ โดยการเติม “s” เด็ดขาด

2.) Job (คำนามนับได้) หมายถึง “งานเป็นจ็อบๆ เป็นตำแหน่งงาน หรือเป็นโปรเจ็คท์” นั่นเอง ซึ่งเวลาใช้ก็ต้องใช้ article “A” หรือทำเป็นพหูพจน์ โดยการเติม “s” ให้ถูกต้องตามหลักด้วย

 

ยกตัวอย่างประโยคเช่น

Work:

1.) There isn’t a lot of work at this time of the year.

ช่วงนี้(ของปี)งานมันไม่ค่อยเยอะอยู่แล้วอ่ะ

 

2.) I’m sure you’ll find work soon.

ฉันมั่นใจนะว่าเธอจะหางานได้ในไม่ช้านี้

 

3.) Jennifer left college a year ago and she’s still looking for work.

เจนนิเฟอร์ออกจากมหาวิทยาลัยมาเมื่อปีที่แล้ว ... และนี่เขายังหางานอยู่เลยอ่ะ

 

_______________________________________________________________

Job

1.) Jennifer got a job as a receptionist.

เจนนิเฟอร์ได้งานเป็นพนักงานต้อนรับ(หน้าเคาน์เตอร์)

 

2.) More than 40 workers lost their jobs.

คนงานกว่า 40 คนต้องออกจากงาน

 

3.) I was offered a job at Ford Motors but I turned it down.

ฉันได้รับเสนอ(ตำแหน่ง)งานที่บริษัท ฟอร์ดมอเตอร์ แต่ฉันปฏิเสธมันไปเรียบร้อยแล้วล่ะ

 

_____________________________________

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

www.ThaiBizSolutions.com

guest

Post : 2014-07-10 21:39:04.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Maybe กับ May be ต่างกันอย่างไร

 ข้อแตกต่างระหว่าง Maybe (เขียนติดกัน) กับ May be (เขียนแยก)

 

คำว่า Maybe กับ May be นั้น มันเป็นคนละความหมาย และคนละหน้าที่กันโดยสิ้นเชิงเลยครับ

 

1.) คำว่า Maybe เขียนติดกัน เป็น Adverb (คำวิเศษณ์ ขยาย Verb) แปลว่า “ไม่แน่” หรือว่า “บางทีนะ” หรือว่า “อาจจะนะ”

2.) แต่ May be แบบเขียนแยกกันนั้น ก็คือการแปลแยกคำกันไป ตามความหมายพื้นๆ แปลแบบตัวใครตัวมันนั่นเอง

โดยที่ may เป็น “กริยาช่วย” (Modal Auxiliary Verb) แปลว่า “อาจจะ”

be เป็น Verb to be (ที่เป็น infinitive แปลว่า “เป็น / อยู่ / คือ” หรือเอาไว้ใช้ให้คำ Adjective มาวางตามหลัง)

 

*********************************************

ยกตัวอย่างเช่น ...

Maybe แบบเขียนติดกัน

1. Maybe, I’ll buy myself a new laptop.

แปล: ไม่แน่นะ (บางทีนะ) ฉันอาจจะซื้อโน้ตบุ๊คเป็นของขวัญให้ตัวเองซะบ้าง

 

2. ถาม: Will you go to the library after lunch?  ....  ตอบ: Maybe!

แปล: คุณจะเข้าห้องสมุดหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จหรือเปล่าอ่ะ .... ตอบ: อาจจะนะ

 

3. I think, maybe you should give them another call.

แปล: ฉันว่า เธอน่าจะโทร.หาเขาอีกสักทีนะ

 

*********************************************

May be แบบเขียนแยกกัน

1. Well, I may be wrong.

แปล: ฮืม! ฉันอาจจะคิดผิดก็ได้แฮะ

 

2. ถาม: It may be that we’ll never know exactly what happened.

แปล: มันอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเราจะไม่มีทางรู้แบบเป๊ะๆ ได้เลยว่าอะไรมันได้เกิดขึ้น

 

3. Let me check! There may be enough cheese for all of us.

แปล: เดี๋ยวขอฉันเช็คดูก่อนนะ อาจจะมีเนยแข็งเหลือพอสำหรับพวกเราทุกคนก็ได้

 

*********************************************

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

http://www.ThaiBizSolutions.com/

guest

Post : 2014-06-26 09:52:58.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "อยู่" ใช้ Live หรือ Stay หรือ Verb to "BE"

คำว่า “อยู่” ใช้ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร?

 

มีหลายคำในภาษาอังกฤษที่เขาใช้กัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภาพของเหตุการณ์ มีดังนี้

Live = อาศัยอยู่, ใช้ชีวิตอยู่, อาศัยอยู่แบบถาวร

Stay = พักอยู่ (แบบชั่วคราว เช่น พักตามโรงแรม), อยู่ (แบบไม่ออกไปไหน, รักษาสภาพให้อยู่ที่เดิม), รักษาสภาพ

Verb to “Be” = เป็น, อยู่, คือ (พวก is, am, are นั่นเอง) คำในกลุ่มนี้เอาไว้ใช้ “บอกตำแหน่ง” หรือบอกว่า “เราอยู่กับใคร, ที่ไหน” เป็นต้น

 

อันที่จริงยังมีคำอื่นอีกหลายคำที่แปลว่า “อยู่” แต่ที่เราใช้กันบ่อยๆ ก็จะมี 3 คำนี้

ลองมาดูตัวอย่างประโยคการใช้กันครับ

 

1.) ฉันอยู่ที่อังกฤษมา 10 ปีแล้ว (ตอนนี้ก็ยังอยู่)

I have been living in England for 10 years.

 

2.) ฉันอยากอยู่ (อยากไปใช้ชีวิตอยู่) ที่ฟลอริด้าอ่ะ

I want to live in Florida.

 

3.) ไปเที่ยวที่เชียงใหม่นี่ เธอจะไปพักที่ไหนล่ะ

On this Chiangmai trip, where are you going to stay?

 

4.) พรุ่งนี้ฉันจะไม่ออกไปไหนนะ ฉันจะอยู่บ้าน

Tomorrow I’m not going anywhere – I’ll stay at home.

 

(เวลามีคนถามว่า: เธออยู่ไหนอ่ะ ตอนนี้) ตอบ:

5.) ตอนนี้ ฉันอยู่ที่ 7-Eleven

Now I am at 7-Eleven.

* อย่าไปใช้ Now I stay at 7-Eleven. หรือ Now I live at 7-Eleven. เชียวนะครับ ... จะตลกทันทีเลย

 

6.) ตอนนี้ ฉันอยู่ที่ทำงาน

Now I am at the office. (คิดคำว่า “office” เป็นสถานที่ในเชิง “บริษัท”)

Now I am in my office. (คิดคำว่า “office” เป็น “ห้องทำงาน”)

Now I am at work.

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

처음 이전 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 다음 끝