Support
www.thaibizsolutions.com
095-979-9890
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2016-04-04 08:41:26.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Adverbs บอกเวลาและบอกความถี่-ที่สำคัญและใช้บ่อย

 Adverbs บอกเวลาและบอกความถี่ที่สำคัญๆในชีวิต – ที่คนเราควรรู้

1.)   I go to the gym every other day. (ฉันไปออกกำลังกายวันเว้นวัน)

2.)   I don’t see very much of Paul these days. (หมู่นี้ฉันไม่ค่อยได้เจอพอลเลย)

3.)   I’ve been running a lot lately. (ช่วงหลังๆมานี่ ฉันวิ่งบ่อยเลย)

4.)   She talked to her mother on the phone and at the same time, she was cleaning the kitchen. (หล่อนคุยโทรศัพท์กับแม่ของหล่อนและในขณะเดียวกันหล่อนก็ทำความสะอาดครัวไปด้วย)

5.)   Coincidentally, we were on the same flight. (โดยบังเอิญมากเลย เราดันขึ้นเครื่องบินเที่ยวเดียวกันพอดี)

6.)   I seldom call her. (ฉันแทบไม่ได้โทร.หาหล่อนเลยอ่ะ – คือโทร.หาหล่อนนานๆครั้ง)

7.)   I e-mail her every once in a while. (สักพักหนึ่ง ฉันก็เขียนอีเมล์หาหล่อนสักครั้งหนึ่ง – คือไม่บ่อยนั่นเอง)

8.)   For the time being, you could practice cooking. (สำหรับช่วงเวลาที่เหลือ [ก่อนจะถึงกำหนดที่จะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง] เธอก็สามารถฝึกทำกับข้าวไปได้เรื่อยๆนี่นา)

9.)   You’ve made the same mistake time after time. (เธอทำความผิดเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-03-28 10:54:23.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  โทร.ตามเขาไม่เจอ - ภาษาอังกฤษ

ฉันโทร.หาเขาแล้วตามเขาไม่ได้อ่ะ / หรือเขาไม่รับ / หรือเขาไม่โทร.กลับ สามารถใช้ประโยคนี้ได้ครับ

1.) I couldn't get hold of him. (หรือใช้ her แทน him ในกรณีที่คนๆนั้นเป็นผู้หญิง)

2.) I couldn't get a hold of him. (หรือใช้ her แทน him ในกรณีที่คนๆนั้นเป็นผู้หญิง)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-03-15 22:38:39.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  อย่าไปคาดหวังว่า "ทำดีต้องได้ดี"

  อย่ามัวแต่ไปคาดหวังและไปรอว่า ... ทำดีแล้วจะได้ดีไหม

แต่จงคิดว่า ... ทำดีแล้วเราสบายใจ
 
Don't expect or await something in return after you have done a good deed.
But, you shall think that doing a good deed will instantly bring peace to your soul.
 
 
ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-03-09 10:22:29.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  I see the glass as half full. แปลว่าอะไร

 I see the glass as half full (rather than half empty).

ฉันมองว่า ... เรามีน้ำ “ตั้งครึ่งแก้วแน่ะ

มากกว่าที่จะมอง เรามี “แค่ครึ่งแก้วเอง

 

 

คนเราจำนวนมากมักจะมองอะไรในแง่ที่ว่า “เรายังมีน้อยเกินไป”, “เรายังเดือดร้อนอยู่-เรายังลำบากอยู่” หรือไม่ก็ “เรายังมีไม่พอ และยังต้องการจะให้มันมีมากกว่าที่เราพึงมี-พึงหาได้” เราจึงสร้างความทุกข์ความร้อนใจให้ตัวเองโดยไม่ได้เจตนา

 

สำนวนภาษาอังกฤษข้างต้นนี้เราคัดลอกมาจากประโยคเก่าแก่ในภาษาอังกฤษที่เขามีพูดสอนใจกันมาช้านานแล้ว ผมขอนำมันมาแปลด้วยวิธีการที่ “แปลจากความรู้สึก” หรือ “แปลจาก context ซึ่งไม่ใช่การแปลแบบคำต่อคำนะครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-03-06 23:23:06.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  go home, go to school, go to the office ใช้อย่างไร

ประโยคทั้งสามประโยคที่คุณเห็นอยู่นี้ ล้วนเป็นประโยคที่ถูกต้องทั้งหมด (คุณสามารถจะจำไปใช้ได้ทันทีเลย)

I’m going to the office. (“มีทั้ง to” และ มีทั้ง the”)

I’m going to school. (“มี to” แต่ ไม่มี the”)

I’m going home. (“ไม่มีทั้ง to” และ ไม่มีทั้ง the”)

 

เหตุผลของการ มี to” หรือ “ไม่มี to”

หรือเหตุผลของการ มี the” หรือ “ไม่มี the” นั้น มันอยู่ที่ว่า “คำที่ตามหลัง go มันคือคำประเภทใด (คือมี Parts of Speech เป็นคำประเภทใดนั่นเอง)

 

1.) I’m going to the office. (“มีทั้ง to” และ มีทั้ง the”) ก็เป็นเพราะคำว่า “go” เป็น “กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ” จึงต้องใส่ preposition ให้เหมาะสม (ซึ่งก็คือคำว่า “to” นั่นเอง) ส่วนคำที่ตามมาคือ “office” เป็นคำนามนับได้ จะนำมาวางเฉยๆ โดยไม่ใส่ “article” ไม่ได้ และเนื่องจากว่า “ผู้พูด” และ “ผู้ฟัง” รู้ว่าเป็นออฟฟิศที่เดียวกัน จึงต้องใส่ “the”

 

2.) I’m going to school. (“มี to” แต่ ไม่มี the”) ในข้อนี้ “ไม่มี the” เพราะคำว่า “school” เขานำมาใช้แบบเป็นคำนามนับไม่ได้ หมายถึง “ที่ที่เราไปเรียนหนังสือ” (ไม่ใช่ตัวตึก) เราจึงวางเฉยๆได้ โดยไม่ต้องมี “article”

 

3.) I’m going home. (“ไม่มีทั้ง to” และ ไม่มีทั้ง the”) เนื่องจากคำว่า “home” ในที่นี้ “ไม่ได้เป็นคำนาม” แต่มันเป็น Adverb (คำวิเศษณ์) ซึ่งหมายความว่า “ในทิศทางที่มุ่งไปสู่บ้าน”

 

ผมเคยเห็นคนไทยจำนวนมากสับสนกับเรื่องนี้ และมักจะใช้ผิดกันเป็นประจำ ถ้าคุณเห็นใครที่เขาใช้ผิดกันอยู่ ก็ฝากบอกพวกเขาด้วยครับ ถือว่าเราส่งความปรารถนาดีให้ทุกๆคนครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-03-02 07:50:53.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  The more ..., the more ...! แปลว่าอะไร

 โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษในลักษณะว่า:

The + คำที่เป็น “ขั้นกว่า”, the + คำที่เป็น “ขั้นกว่า.”

จะแปลว่า “ยิ่ง ....., ก็ยิ่ง .....

เช่น The sooner, the better! แปลว่า “ยิ่งเร็ว ยิ่งดี”

เอาไว้ใช้ในเหตุการณ์เช่นว่า

คนที่ 1: “เธออยากให้ฉันไปถึงบ้านเธอกี่โมงดีล่ะ” (What time would you expect me to be at your home?)

คนที่ 2: “ยิ่งเร็ว ยิ่งดี” (The sooner, the better!)

 

The more you give, the more you get. (ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้)

The higher, the colder! (ยิ่งสูง ยิ่งหนาว)

 

The more I live, the more I learn. (ยิ่งมีชิวิตอยู่นานไป ฉันก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น)

The more I learn, the more I realize how little I know. (ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น ฉันก็ยิ่งตระหนักว่าฉันช่างรู้น้อยเหลือเกิน)

 

(ประโยคล่างสุดนี้เป็นประโยคจากเพลง “A Piece of Sky” แต่งโดย Alan & Marilyn Bergman และ Michel Legrand จากภาพยนตร์เรื่อง Yentl, 1983)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

 

* หมายเหตุ: ตลอดช่วงเดือนมีนาคม 2559 นี้ ในทุกวันศุกร์ Fan Page ของเราจะเป็นการลงโพสต์ที่เป็นคำถามง่ายๆ เพื่อที่จะได้ให้คุณๆได้มีเวทีฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นอีกเวทีหนึ่ง เพื่อฝึกให้ภาษาอังกฤษแข็งแกร่งขึ้น แล้วหลังจากที่เราได้โพสต์คำถามไป เราจะมีเวลาให้คุณสองวันในการคิด+ตอบ แล้วเราจะมาเฉลยให้ในทุกๆวันอาทิตย์ พร้อมคำอธิบายครับ

guest

Post : 2016-02-28 21:56:36.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "วิดีโอ" ภาษาอังกฤษ ใช้ว่า VDO หรือ video?

มีคนไทยหลายคนเข้าใจผิดว่า “วิดีโอ” เป็นตัวอักษรย่อว่า V-D-O ก็เลยมีการเขียนแบบผิดๆว่า “VDO”

 

ความจริงก็คือว่า วิดีโอ เป็นคำเฉพาะของมันเลย (ไม่ใช่คำย่อ) ซึ่งสะกดว่า videoซึ่งก็คือภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์ที่มีการบันทึกลงแผ่นหรือตลับเทปเพื่อใช้ในการเปิดดูนั่นเอง

 

เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมเขียนอีเมล์ (ภาษาอังกฤษ) ไปถึงคนอเมริกันคนหนึ่งเพื่อสั่งซื้อวิดีโอ แล้วผมเขียนคำว่า VDO ลงไปในอีเมล์นั้น (ด้วยความเข้าใจว่ามันคือ “วิดีโอ”) เขาเขียนตอบกลับมา แล้วถามว่า What does VDO stand for? (แปลว่า: VDO ย่อมาจากอะไร”) หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเขียนภาษาอังกฤษว่า VDO อีกเลย (แล้วผมก็ไม่เคยเห็นเจ้าของภาษาอังกฤษคนไหนเขาใช้ VDO กันด้วย)

 

เราช่วยกันบอกต่อให้กับเพื่อนๆ และคนที่เรารักด้วยนะครับ ... มาช่วยกันทำให้ประเทศไทยที่รักของเราทุกคน เป็นประเทศหนึ่งที่ใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างถูกต้อง ไม่อายประเทศเพื่อนบ้านครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-23 23:14:05.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  waiting list หรือ wait list

 ตัวอย่างเหตุการณ์ที่คุณไปรอโต๊ะที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง (ร้านอาหารคนแน่นมาก ไม่มีที่นั่งเหลือเลย) แล้วคุณเกิดอยากจะรับประทานที่ร้านนั้นให้ได้ คุณก็จำเป็นจะต้องรอ หรือเวลาที่คุณจะเดินทางท่องเที่ยวโดยเครื่องบิน แต่ปรากฏว่าที่นั่งเต็ม เอเจนซี่เขาบอกให้คุณลงชื่อรอ แล้วเมื่อมีที่ว่าง เขาจะโทร.มาแจ้ง

 

เหตุการณ์แบบนี้ คนต้องพูดภาษาอังกฤษว่า “ตัวฉันอยู่บน waiting list” (I’m on the waiting list.) ใช้แบบนี้ จะถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เลย ไม่มีใครจะมาว่าคุณได้ (คนอังกฤษก็ใช้กันแบบนี้)

 

แต่ที่สหรัฐอเมริกา คนส่วนใหญ่ที่นั่น (ผมก็เจอมากับตัวเองบ่อยเลย) เขาจะใช้ wait list (เขานิยมใช้คำนี้มากกว่าคำว่า waiting list) จึงเป็นประโยคว่า I’m on the wait list. (การใช้แบบอเมริกัน)

 

สรุปว่าใช้ได้ทั้งสองคำนะครับ แบบต้นตำรับก็คือ waiting list (แบบอังกฤษ) ส่วนแบบอเมริกันก็คือ wait list

 

คำว่า waitlist (เขียนติดกัน) เขายังเอามาใช้เป็น Verb (คำกริยา) ได้ด้วย แปลว่า “นำชื่อคนมาใส่บน waiting list” แต่เขาจะนิยมใช้ให้อยู่ในรูปของ passive voice เช่น

เหตุการณ์: เพื่อนๆของคุณหิวข้าวมาก ไม่อยากจะรอร้านอาหารชื่อดังร้านนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่ตัวคุณยังจะยืนยันที่จะทานร้านนั้น ก็เลยบอกเพื่อนๆว่า “ใจเย็นๆ รอต่อไปดีกว่า ตอนนี้เขาใส่ชื่อพวกเราอยู่บน waiting list แล้วนะ” (Hey, c’mon!  Let’s continue waiting.  Now, we’ve been waitlisted.)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-18 20:15:41.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ปากกาเมจิค ภาษาอังกฤษ

คำว่า Magic” แปลว่า “วิเศษ” หรือ “มีเวทมนตร์”

 

(ถ้าเราไปบอกฝรั่งว่า Magic Pen เขาจะไปแปลความว่ามันเป็น “ปากกาวิเศษ” หรือ “ปากกาสำหรับเล่นมายากล” อ่ะครับ)

สิ่งที่คนไทยเรียกว่าสีเมจิคหรือปากกาเมจิคนั้น ฝรั่งเขาเรียกว่า felt-tip pen

felt (คำนาม) แปลว่า “ผ้านุ่มๆที่อัดกันแน่นเป็นแผ่นแบนๆ”

tip (คำนาม) แปลว่า “ส่วนปลาย”

pen แปลว่า “ปากกา”

ดังนั้น felt-tip pen จึงแปลว่า “ปากกาที่มีปลายเป็นผ้านุ่มๆที่อัดกันแน่นเป็นแผ่นแบนๆ” หรือ สิ่งที่เราเรียกกันว่า “ปากกาเมจิค” นั่นเอง

 

ส่วนปากกาที่เขียนไวท์บอร์ดเขาเรียกกันว่“marker” แปลตรงๆตัวว่า “ปากกาด้ามใหญ่ๆ ที่มีปลายโตๆ เอาไว้ใช้ทำเครื่องหมายหรือใช้วาดรูป”

 

ตัวอย่างการใช้ประโยคภาษาอังกฤษคำว่า “ปากกาเมจิค” ก็อย่างเช่น:

Mom, can you buy a pack of felt-tip pens for me, please?

(แม่ครับ ช่วยซื้อปากกาเมจิคให้ผมชุดนึงได้ไหมครับ)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-17 00:13:34.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เคยตัว-ภาษาอังกฤษ

คำว่า เคยตัว” ในภาษาไทยเราจะใช้อยู่ 2 เหตุการณ์หลักๆ คือ

 

1.) ใช้ในการอธิบาย-เล่าลักษณะนิสัยของใครคนหนึ่ง เช่น “เธอกำลังจะทำให้ลูกของเธอเคยตัวนะ” ในเหตุการณ์แบบนี้ ฝรั่งเขาจะใช้คำว่า spoil(เป็นคำกริยา) ซึ่งประโยคที่ว่ามานี้ เราสามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า: You are spoiling your son.

spoil แปลว่า “ตามใจเด็กมากเกินไปจนส่งผลเสีย ทำให้เด็กประพฤติตัวไม่เหมาะสม”

 

เด็กคนนี้เขาเคยตัวแล้ว (หรือเสียคนแล้วนั่นเอง) = He is spoiled. หรือ He is spoiled rotten. (เป็นสำนวน แปลว่า “เสียคนแบบสุดๆ)

 

2.) ใช้ต่อว่าเด็ก เวลาที่เด็กคนนั้นทำอะไรไม่เหมาะสม ในเหตุการณ์แบบนี้ จะไม่ใช้คำที่กล่าวมาข้างต้น แต่จะเป็นการ “ต่อว่า” ซึ่งเราอาจจะใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกันไปแล้วแต่เหตุการณ์ เช่น

“ลูกนี่! ชักจะเคยตัวใหญ่แล้วนะ” น่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า You’re being such a bad boy! หรือ You are behaving like a bad boy.

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-13 09:16:20.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  วันวาเลนไทน์ - ภาษาอังกฤษ

วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) บางทีเขาก็เรียกว่า Saint Valentine’s Day หรือบางทีเขาก็เรียก Feast of Saint Valentine.

 

feast แปลว่า “งานเลี้ยงฉลองอย่างใหญ่โตแก่ผู้คนมากมาย และมีอาหารจำนวนมากเอาไว้ให้รับประทาน”

saint แปลว่า “นักบุญ”

 

เวลาเราจะใช้ว่า “วันวาเลนไทน์” ในภาษาอังกฤษเขาจะต้องใส่ apostrophe ‘S’ [หรือสัญลักษณ์ ’s] ด้วยเสมอ ห้ามลืมนะครับ

 

แต่ถ้าเราจะใช้ Valentine โดยไม่ใส่ apostrophe ‘S’ ฝรั่งเขาก็จะใช้ในความหมายที่เป็นคำนาม แปลว่า “การ์ดอวยพรที่เราส่งไปในวันวาเลนไทน์” หรืออาจจะหมายถึง “คนที่เรารักหรือถูกใจ ซึ่งก็คือบุคคลที่เราจะส่งการ์ดไปหาในวันวาเลนไทน์” นั่นเอง เช่นประโยคที่คุณสามารถเอาไว้พูดหรือเขียนให้แก่คนที่คุณคบหาว่า

 

Be my valentine! (ใช้ตัว ‘v’ ตัวเล็ก) = จงเป็นคนที่ออกเดทกับผม/กับฉันในวันวาเลนไทน์เถอะนะ

Happy Valentine’s Day! (ใช้ V และ D เป็นตัวใหญ่) = สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ/นะคะ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-12 12:07:40.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  two hundred ต้องเติม s หรือเปล่า

 เวลาที่เราจะใช้ว่า สองร้อย, สามพัน, สี่ล้าน, ฯลฯ หรืออะไรทำนองนี้ ฝรั่งเขาจะไม่ใส่ ‘s’ เข้าไปที่ท้ายคำ hundred, thousand, million เด็ดขาด เพราะคำเหล่านั้นมันกำลังทำหน้าที่เป็นเสมือน “Adjective” (ซึ่งเป็นการบอกลักษณะในแง่ของปริมาณหรือจำนวน) ดังนั้นเราจึงต้องเขียนว่า:

five hundred families (ห้าร้อยครอบครัว), seven thousand books, four million dollars (เงินสี่ล้านดอลล่าร์)
 
แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ hundred, thousand, million มันทำหน้าที่เป็นเสมือน “คำนาม” (หรือ “สรรพนาม”) ถ้ามันมีจำนวน “หลาย” เช่น หลายร้อย, หลายพัน, หลายล้าน หรือ เป็นร้อยๆ, เป็นพันๆ, เป็นล้านๆ, ฯลฯ เขาจะเติม ‘s’ เข้าไปที่ท้ายคำเหล่านั้นด้วย เช่น
1.) เมื่อวานนี้ฉันเห็นค้างคาวเป็นพันๆตัวเลยล่ะ ในถ้ำแห่งนั้น
(Yesterday, I saw thousands of bats in that cave.)
2.) คนเป็นล้านๆคนกำลังรอที่จะเฉลิมฉลองคริสต์มาสอยู่ในย่านใจกลางเมือง
(Millions of people are waiting to celebrate Christmas in the city center.)
 
คราวนี้มาดูคำว่า ‘baht’ ตามปกติแล้ว เวลาที่ “คำนามนับได้” (โดยส่วนใหญ่) มีจำนวนมากกว่า เขาก็จะเติม ‘s’ เข้าไปที่ท้ายคำนั้น แต่คำว่า ‘baht’ เป็นคำนามนับได้ก็จริง เมื่อมีเกิน บาท เขาจะไม่เติม ‘s’ สาเหตุก็เป็นเพราะคำว่า ‘baht’ ไม่ได้เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษ  ซึ่ง Grammar ของภาษาต้นตอ (คือประเทศไทย) เขาไม่มีการเติม ‘s’ ดังนั้นสำหรับคำว่า ‘baht’ เขาก็เลยไม่เติม ‘s’ กัน ถึงแม้ว่ามันจะมีมากกว่าหนึ่งก็ตาม ดังนั้นขอสรุปแบบนี้นะครับ
10 baht
100 yen
50 euro
 
แต่หน่วยเงินที่มาจากภาษาอังกฤษ เช่น dollar, cent, pound, penny พวกนี้ เขาจะต้องเติม ‘s’ ด้วย เมื่อมันมีจำนวนที่มากกว่า1
 
 
 
ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-09 20:19:20.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  กาแฟเย็น - ภาษาอังกฤษ

สาเหตุหลักข้อหนึ่งที่ทำให้คนไทยเราใช้ภาษาอังกฤษผิด ก็คือการเอาคำศัพท์แปลเป็นคำต่อคำ แล้วมาเรียงต่อกันไปยาวๆ

 

คำว่า “กาแฟเย็น” ก็เช่นกัน พวกเราส่วนใหญ่ท่องศัพท์กันได้ว่า coffee แปลว่า “กาแฟ” และ cold แปลว่า “เย็น” ดังนั้นถ้าเราแปลแบบตรงตัว (เกินไป) เราก็จะได้ศัพท์คำว่า “cold coffee” ซึ่งมีความหมายตามความเป็นจริงว่า “กาแฟที่เย็นชืด” (คือกาแฟที่หายร้อนแล้วนั่นเอง)

 

แล้วคำว่า “iced coffee” นั้น พวกเราหลายคนก็มักจะสงสัยว่าทำไมคำว่า “iced” ต้องเติมตัว “d” เข้าไปข้างท้ายด้วย คำตอบก็คือ ... คำว่า “ice” สามารถเป็นคำกริยาได้ด้วย แปลว่า “เติมน้ำแข็งหรือโปะน้ำแข็งลงไป” ดังนั้นการเติม “+ed” เข้าไปที่ข้างท้าย ก็เพื่อทำให้มันอยู่ในฟอร์มของ Verb ช่อง 3 (หรือ Passive Voice นั่นเอง) ซึ่งทำหน้าที่เป็น “Adjective” หมายความว่า “ถูกเติมน้ำแข็งลงไป”

 

ดังนั้น iced coffee จึงแปลแบบตรงๆ ได้ว่า “กาแฟที่ถูกเติมน้ำแข็งลงไป” ซึ่งบ้านเราเรียกมันว่า “กาแฟเย็น” นั่นเอง

 

So, I hope you are clear on this explanation.  If you have a fun “iced-coffee” experience that you want to share, we would love to see your comments telling us about it. (ลองฝึกแปลกันเองนะครับ)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-02 23:21:40.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ร้อย - a hundred กับ one hundred ต่างกันอย่างไร

 คำว่า a hundredแปลว่า “ร้อยนึง

แต่ one hundredแปลว่า “หนึ่งร้อย

นี่เป็นความจริงครับ (ผมไม่ชอบล้อเล่น เวลาสอนหนังสือ)

 

a hundred ร้อยนึง” – เอาไว้ใช้เวลาที่เราบอกจำนวนหรือปริมาณแบบไม่ได้เน้นไปที่เลข “หนึ่ง” (แต่เน้นไปที่เนื้อหาหรือเรื่องราวที่เราพูดสื่อสาร) เช่นพูดว่า “ฉันมีเงินอยู่ร้อยนึง” = I have a hundred baht. (ฝรั่งเขาจะไม่พูดว่า I  have one hundred baht.)

 

หรือ I lost my wallet somewhere.  Can you loan me a hundred baht, please? (ฉันทำกระเป๋าเงินหล่นหายที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ขอยืมเงินสักร้อยนึงได้มั้ยอ่ะ)

 

 

แต่ one hundred หนึ่งร้อย” – เอาไว้ใช้เวลาที่เราจะเน้นว่าเป็น “หนึ่ง” นะ ไม่ใช่ “สองหรือสามหรือสี่ร้อย ...” เช่น

I remember I put one hundred baht in that box but I don’t know why there is only eighty baht now. (ฉันจำได้ว่าฉันใส่เงินลงไปในกล่องนั้นหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้มันเหลือแค่แปดสิบบาทเองอ่ะ)

 

ความแตกต่างระหว่างเจ้าสองตัวที่ผมยกมาข้างต้นนี่ มันเหมือนคำว่า “ร้อยนึง” กับ “หนึ่งร้อย” (ในการพูดภาษาไทย) เป๊ะเลย (น่าตลกดีนะครับ) ดังนั้นคุณก็สามารถนำหลักการนี้ไปใช้กับเลข “พัน” (a thousand พันนึง / one thousand หนึ่งพัน) หรือ “ล้าน” (a million ล้านนึง / one million หนึ่งล้าน) ได้ในลักษณะเดียวกันครับ

 

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-02-01 08:46:36.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ขับรถพวงมาลัยซ้ายหรือขวา - พูดเป็นภาษาอังกฤษ

ในประเทศไทย พวกเราขับรถ พวงมาลัยอยู่ด้านขวา” ซึ่งมีประเทศที่พวงมาลัยรถยนต์อยู่ด้านเดียวกับของเราก็คือเช่น อังกฤษ, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ (มีน้อยประเทศจริงๆ)

 

แต่มีประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศที่เขาขับรถพวงมาลัยซ้าย (ตรงข้ามกับในบ้านเรา) เช่น สหรัฐอเมริกา, ประเทศในยุโรปหลายประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง ลาว, กัมพูชา, พม่า, เวียดนาม และประเทศอื่นๆอีก (ที่พวงมาลัยอยู่ด้านซ้าย)

 

คราวนี้เวลาที่เราจะพูดภาษาอังกฤษเพื่อบอกเขาว่าในประเทศไทย เราขับรถด้านไหนเนี่ย เราก็ต้องบอกเขาว่า

In Thailand, we drive on the left side of the road. (ในประเทศไทย เราขับรถชิดด้านซ้ายของถนน) ดังนั้นเขามักจะพูดแบบย่อๆว่า In Thailand, we drive on the left.

 

จำไว้นะครับว่า ถ้าเราจะบอกฝรั่งว่าประเทศไทยของเรา ขับรถด้านไหน เขาจะคิดที่ด้านของถนน” (คือรถที่ขับช้าต้องขับชิดไหล่ทางซึ่งอยู่ด้านซ้าย เขาก็เลยเรียกว่า ในประเทศไทยเราขับรถชิดด้านซ้ายนั่นเอง) เขาไม่ได้ถือตามด้านที่ตั้งของพวงมาลัย ดังนั้นจึงสรุปได้อีกประโยคหนึ่งว่า In the U.S.A., they drive on the right (side of the road). แปลว่า ในสหรัฐอเมริกา เขาขับรถชิดด้านขวา (ของถนน)

 

ดังนั้นเวลาที่เราจะถามคนต่างชาติว่า ประเทศคุณขับรถฝั่งไหนครับ เราก็จะพูดว่า In your country, driving is on the left, or on the right?

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-01-28 22:53:22.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ปฏิบัติธรรม ภาษาอังกฤษ

 เวลาเราจะ “ไปปฏิบัติธรรม” เขาจะใช้คำกริยาว่า “go to a meditation retreat

 

โดยที่เมื่อแปลตามศัพท์แบบตรงไปตรงมาก็คือ

meditation (คำนาม) = การทำจิตให้ว่างและให้จิตสงบ

retreat (คำนาม) = สถานที่ที่เงียบสงบและปลอดภัยจากการถูกรบกวน หรือช่วงเวลาที่เราใช้ในการสวดมนตร์และใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ

 

มาดูตัวอย่างประโยคกันครับ

1.) แฟนผมเขาชอบไปปฏิบัติธรรมในยามว่าง = My girlfriend likes to go to a meditation retreat in her free time.

2.) ไปปฏิบัติธรรมในวันหยุดยาวช่วงเข้าพรรษากันไหม = Would you like to go to a meditation retreat during the Buddhist Lent weekend with me?

3.) สมัยนี้คนนิยมไปปฏิบัติธรรมกันอย่างกว้างขวางทีเดียว = Many people are interested in going to meditation retreats nowadays.

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-01-27 00:48:00.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  แชร์ ประสบการณ์ของนักเรียนภาษาอังกฤษ ที่เรียนได้เร็ว

เมื่อ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมมีนักเรียนใหม่คนหนึ่งชื่อ แอ้ม (Amp Kittisirisawat) อายุ 23 ปี ตอนเริ่มเรียนวันแรก แอ้มบอกผมว่าเขาไม่ค่อยชอบภาษาอังกฤษและที่ผ่านมาก็ไม่ตั้งใจเรียนด้วย แต่เนื่องจากเขาเตรียมไปเรียนต่อต่างประเทศ เขาก็เลยต้องมาปูพื้นฐานภาษาอังกฤษใหม่

 

เขาเล่าให้ผมฟังว่า เขาหัดเล่นกีต้าร์ด้วยตัวเอง เพราะเขาอยากให้สาวๆประทับใจในตัวเขา เขาไม่ได้ไปเรียนที่ไหนเลย หัดเองล้วนๆ

 

ผมก็เลยบอกเขาว่า ในทุกๆครั้งที่เขามาเรียนภาษาอังกฤษ ผมขอให้เขาพก “ความรู้สึกกระหาย อยากได้ความรู้” มาด้วย เหมือนกับความรู้สึกที่เขากระหายอยากเล่นกีต้าร์โชว์สาวๆ

 

หลังจากนั้นเขาก็บอกผมว่าเขาจำคำพูดประโยคที่ว่า “ต้องมาเรียนด้วยความรู้สึกกระหาย อยากได้ความรู้” แล้วเชื่อไหมครับว่า เขาเป็นนักเรียนคนหนึ่ง (ในจำนวนน้อยคน) ที่เรียนภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างเร็ว ถึงแม้ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ได้เก่งมาก แต่เขาบอกว่าตอนนี้เขาตระหนักถึงความสำคัญของมันแล้ว เข้าใจบทเรียนต่างๆได้ในเวลาอันสั้น สนุกและตื่นเต้นที่ได้มาเรียนภาษาอังกฤษ และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

 

ในตอนนี้ ผมก็อยากให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านโพสต์ ได้เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง โดยที่ผมเอาคลิปที่ Amp เขาเล่นกีต้าร์มาให้ดู คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาเอากีต้าร์มาที่ห้องเรียนแล้วก็บอกผมว่า “อาจารย์ครับ เรามาเล่นเพลง Cover Version กันไหม” ผมก็เลยทดลองรู้คู่กับเขาดูเล่นๆ

 

แล้ววันนี้ผมก็ขออนุญาตเอาเพลงที่พวกเราเล่น+ร้องกันในวันนั้นมาให้ฟัง พร้อมกับมีเนื้อเพลงและคำแปล (ที่ผมแปลเอง) มาให้คุณได้อ่านเพื่อฝึกภาษาอังกฤษด้วย

 

เพลงชื่อ Greenfields (แปลว่า “ทุ่งหญ้าสีเขียว”) เป็นเพลงเก่าในยุค 1960 ขึ้นอันดับ 2 บน Billboard Charts ในสหรัฐอเมริกา ร้องโดยวงพี่น้องที่มีชื่อวงว่า The Brothers Four

 

https://www.facebook.com/ampseyz/videos/1267857046563257/

Greenfields 

Once, there were green fields kissed by the sun.

Once, there were valleys where rivers used to run.

Once, there were blue skies with white clouds high above.

Once, they were part of an everlasting love.

We were the lovers who strolled through green fields

(ครั้งหนึ่ง เคยมีทุ่งหญ้าสีเขียวที่ถูกกอดจูบโล้มเล้าด้วยแสงอาทิตย์)

(ครั้งหนึ่ง เคยมีหุบเขา ที่ซึ่งมีแม่น้ำเคยไหลผ่าน)

(ครั้งหนึ่ง เคยมีท้องฟ้าสีฟ้าที่มีเมฆสีขาวนวลลอยอยู่เบื้องบน)

(ครั้งหนึ่ง สิ่งเหล่านั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่มั่นคง)

(ครั้งนั้น เราสองคนก็คือคู่รักที่เดินเคลียคลอกันไป ผ่านทุ่งหญ้าสีเขียว)

 

Green fields are gone now, parched by the sun.

Gone from the valleys, where rivers used to run

Gone with the cold wind that swept into my heart,

Gone with the lovers who let their dreams depart,

Where are the green fields that we used to roam?

(ตอนนี้ทุ่งหญ้าสีเขียวได้หายไปแล้ว ถูกแผดเผาด้วยแสงแดด)

(หายไปจากหุบเขาที่เคยมีแม่น้ำไหลผ่าน)

(หายไปกับสายลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาในใจของฉัน)

(หายไปกับคนรักที่เขาทิ้งความฝันของเขาให้ตายลง)

(ตอนนี้ ทุ่งหญ้าสีเขียวที่เราเคยเดินเที่ยวเล่น มันหายไปไหนเสียแล้วล่ะ)

 

I’ll never know what made you run away.

How can I keep searching when dark clouds hide the day?

I only know there’s nothing here for me,

Nothing in this wide world left for me to see!

(ฉันไม่ทางจะรู้คำตอบได้เลยว่า อะไรทำให้เธอจากไป)

(ฉันจะไปหาคำตอบเจอได้อย่างไร ในเมื่อเมฆดำมันปกคลุมเวลากลางวันของฉันจนหมด)

(ฉันรู้เพียงแค่ว่า ไม่เหลืออะไรสำหรับฉันอีกแล้ว)

(ไม่เหลืออะไรเลย ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้)

 

But, I’ll keep on waiting till you return.

I’ll keep on waiting until the day you learn

You can’t be happy while your heart’s on the roam.

You can’t be happy until you bring it home.

Home to the green fields and me, once again!

(แต่ฉันก็จะยังรอต่อไป จนกว่าคุณจะกลับมา)

(ฉันจะรอต่อไป จนกว่าคุณจะได้รู้ซึ้งแล้วเข้าใจว่า ...)

(คุณมีความสุขไปไม่ได้หรอกในเมื่อหัวใจของคุณยังเร่ร่อนไปไหนๆอยู่)

(คุณมีความสุขไปไม่ได้หรอกจนกว่าคุณจะนำหัวใจกลับมายังบ้านของมัน)

(“บ้าน” ที่มีทุ่งหญ้าสีเขียว ... แล้วก็มี “ฉัน” ... อีกครั้งหนึ่ง ... เหมือนอย่างเดิม)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-01-25 12:26:34.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว - กรรมตามสนอง-ภาษาอังกฤษ

สำนวนที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” หรือ “กรรมตามสนอง” ฝรั่งเขาใช้ว่า What goes around comes around.

แปลตรงตัวว่า: สิ่งที่ไปรอบตัวคนอื่น ก็กลับมารอบๆตัวเรา

 

เอาไว้ใช้พูดเวลาที่เราจะเหน็บแนมหรือสั่งสอนใครให้เขารู้สำนึกเสียบ้าง ว่าเวลาที่ทำไม่ดีอะไรกับใครคนหนึ่งไว้ สิ่งนั้นมันก็จะวกกลับมาหาตัวเราเหมือนกัน (จะเน้นใช้เฉพาะกับสิ่งที่ไม่ดีที่ใครสักคนหนึ่งเขาทำไว้)

 

เช่น เวลาที่เพื่อนเราทำชั่วช้าสามานย์กับเราเอาไว้ แล้ววันหนึ่งกรรมก็ตามสนองเขา และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็พูดกับเขาว่า: What goes around comes around.

 

มีเพลงชื่อ What Goes Around … Comes Around. ร้องโดย Justin Timberlake อัลบั้มชุด FutureSex/LoveSounds ซึ่งออกในปี 2006 ถ้าคุณสนใจก็ลองไปหาฟังกันดูครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-01-23 00:43:46.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คนกลัวเมีย-ภาษาอังกฤษ

 คำ Adjective ที่เป็นคำบอกลักษณะของผู้ชายที่ “กลัวเมีย” ฝรั่งเขาใช้คำว่า henpeckedถ้าแปลแบบตรงๆตัวก็หมายความว่า “มักจะโดนไก่ตัวเมียจิกเป็นประจำ”

 

คำว่า hen = ไก่ตัวเมีย;    peck = จิก    .....    ตัวอย่างประโยคเช่น

 

1.) Justin is a henpecked husband, who does all the housework, himself. (จัสตินเป็นผู้ชายกลัวเมียที่ยอมทำงานบ้านทุกอย่าง)

2.) Are you henpecked? (คุณเป็นคนกลัวเมียเหรอ)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2016-01-15 00:04:00.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ตามสบาย ภาษาอังกฤษ

คนไทยเราพูดประโยคว่า “ตามสบายนะครับ/นะคะ” ในเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน 2-3 เหตุการณ์ ซึ่งเราสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดังนี้ครับ

 

1.) เวลามีแขกมาที่บ้าน เราเชิญให้เขานั่ง / ทำตัวตามสบาย / ไม่ต้องเกรงใจเรา เราก็พูดได้ว่า: Make yourself at home. (แปลตรงตัวว่า: ทำตัวของคุณเองให้เหมือนอยู่ที่บ้านของคุณนะ)

 

หรืออาจจะพูดประโยคทางเลือกอีกอันหนึ่งได้ว่า: Make yourself comfortable. (แปลตรงตัวว่า: ทำตัวเองให้รู้สึกสบายกาย-สบายใจนะ)

 

2.) แต่ถ้าเหตุการณ์เป็นว่า คนๆหนึ่งเขาต้องรีบทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะรีบเข้ามาพบกับคุณในห้องทำงานของคุณ แล้วคุณเกรงใจ-เห็นใจเขา ไม่อยากให้เขาต้องรีบเร่งทำภารกิจของเขา คุณก็สามารถจะพูดได้ว่า: Take your time. (แปลว่า: ใช้เวลาของคุณไปได้ตามสบาย ไม่ต้องรีบ)

 

3.) ถ้าใครสักคนหนึ่งเขานัดว่าจะมาหาคุณที่บ้านหรือที่ทำงาน แต่ปรากฏว่ารถมันติดมาก เขามาสาย เขาก็เลยโทร.หาคุณเพื่อที่จะบอกว่าเขากำลังเดินทางอยู่ แต่จะไปถึงสายหน่อย คุณก็สามารถพูดกับเขาได้ว่า: It’s okay. Don’t rush. (แปลตรงตัวว่า: ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องรีบ)

 

พยายามหมั่นใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน วันละหลายๆครั้ง ด้วยความสนุกและด้วยความรู้สึกดีๆ แล้วคุณจะเก่งเร็ว ผมขอเอาใจช่วยทุกคนอย่างจริงใจครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

처음 이전 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | ... 다음 끝