1.)I go to the gym every other day. (ฉันไปออกกำลังกายวันเว้นวัน)
2.)I don’t see very much of Paul these days. (หมู่นี้ฉันไม่ค่อยได้เจอพอลเลย)
3.)I’ve been running a lot lately. (ช่วงหลังๆมานี่ ฉันวิ่งบ่อยเลย)
4.)She talked to her mother on the phone and at the same time, she was cleaning the kitchen. (หล่อนคุยโทรศัพท์กับแม่ของหล่อนและในขณะเดียวกันหล่อนก็ทำความสะอาดครัวไปด้วย)
5.)Coincidentally, we were on the same flight. (โดยบังเอิญมากเลย เราดันขึ้นเครื่องบินเที่ยวเดียวกันพอดี)
7.)I e-mail her every once in a while. (สักพักหนึ่ง ฉันก็เขียนอีเมล์หาหล่อนสักครั้งหนึ่ง – คือไม่บ่อยนั่นเอง)
8.)For the time being, you could practice cooking. (สำหรับช่วงเวลาที่เหลือ [ก่อนจะถึงกำหนดที่จะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง] เธอก็สามารถฝึกทำกับข้าวไปได้เรื่อยๆนี่นา)
9.)You’ve made the same mistake time after time. (เธอทำความผิดเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก)
ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)
1.) ใช้ในการอธิบาย-เล่าลักษณะนิสัยของใครคนหนึ่ง เช่น “เธอกำลังจะทำให้ลูกของเธอเคยตัวนะ” ในเหตุการณ์แบบนี้ ฝรั่งเขาจะใช้คำว่า “spoil” (เป็นคำกริยา) ซึ่งประโยคที่ว่ามานี้ เราสามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า: You are spoiling your son.
So, I hope you are clear on this explanation. If you have a fun “iced-coffee” experience that you want to share, we would love to see your comments telling us about it.(ลองฝึกแปลกันเองนะครับ)
ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)
a hundred “ร้อยนึง” – เอาไว้ใช้เวลาที่เราบอกจำนวนหรือปริมาณแบบไม่ได้เน้นไปที่เลข “หนึ่ง” (แต่เน้นไปที่เนื้อหาหรือเรื่องราวที่เราพูดสื่อสาร) เช่นพูดว่า “ฉันมีเงินอยู่ร้อยนึง” = I have a hundredbaht. (ฝรั่งเขาจะไม่พูดว่า I have one hundred baht.)
หรือ I lost my wallet somewhere. Can you loan me a hundredbaht, please? (ฉันทำกระเป๋าเงินหล่นหายที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ขอยืมเงินสักร้อยนึงได้มั้ยอ่ะ)
I remember I put one hundredbaht in that box but I don’t know why there is only eighty baht now. (ฉันจำได้ว่าฉันใส่เงินลงไปในกล่องนั้นหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้มันเหลือแค่แปดสิบบาทเองอ่ะ)
ความแตกต่างระหว่างเจ้าสองตัวที่ผมยกมาข้างต้นนี่ มันเหมือนคำว่า “ร้อยนึง” กับ “หนึ่งร้อย” (ในการพูดภาษาไทย) เป๊ะเลย (น่าตลกดีนะครับ) ดังนั้นคุณก็สามารถนำหลักการนี้ไปใช้กับเลข “พัน” (a thousand พันนึง / one thousand หนึ่งพัน) หรือ “ล้าน” (a million ล้านนึง / one million หนึ่งล้าน) ได้ในลักษณะเดียวกันครับ
ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)
In Thailand, we drive on the left side of the road. (= ในประเทศไทย เราขับรถชิดด้านซ้ายของถนน)ดังนั้นเขามักจะพูดแบบย่อๆว่าIn Thailand, we drive on the left.
จำไว้นะครับว่า ถ้าเราจะบอกฝรั่งว่าประเทศไทยของเรา ขับรถด้านไหน เขาจะคิดที่“ด้านของถนน” (คือรถที่ขับช้าต้องขับชิดไหล่ทางซึ่งอยู่ด้านซ้าย เขาก็เลยเรียกว่า ในประเทศไทยเราขับรถชิดด้านซ้ายนั่นเอง) เขาไม่ได้ถือตามด้านที่ตั้งของพวงมาลัยดังนั้นจึงสรุปได้อีกประโยคหนึ่งว่าIn the U.S.A., they drive on the right (side of the road).แปลว่า “ในสหรัฐอเมริกา เขาขับรถชิดด้านขวา (ของถนน)
ดังนั้นเวลาที่เราจะถามคนต่างชาติว่า “ประเทศคุณขับรถฝั่งไหนครับ” เราก็จะพูดว่า In your country, driving is on the left, or on the right?
ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)
เพลงชื่อ Greenfields(แปลว่า “ทุ่งหญ้าสีเขียว”) เป็นเพลงเก่าในยุค 1960 ขึ้นอันดับ 2 บน Billboard Charts ในสหรัฐอเมริกา ร้องโดยวงพี่น้องที่มีชื่อวงว่า The Brothers Four