Support
www.thaibizsolutions.com
095-979-9890
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2014-06-10 22:55:37.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Big กับ Large (ใหญ่) แตกต่างกันอย่างไร

Big กับ Large (ใหญ่) แตกต่างกันอย่างไร

 

คำที่แปลว่า “ใหญ่” ในภาษาอังกฤษ มีกันอยู่หลายคำ ซึ่งก็คงคล้ายๆ กับภาษาไทย เช่น ของเรามีคำว่า ใหญ่, โต, มหึมา, เทอะทะ, เบ้อเร่อ อะไรแบบนี้เป็นต้น

 

ในภาษาอังกฤษเขาก็มีอยู่หลายคำ แต่ที่เขาใช้กันบ่อยๆ ที่พวกเราคนไทยหลายคน งงกัน ก็คือสองคำนี้ครับ Big กับ Large

 

ในเว็บบอร์ดของพวกฝรั่งก็มีคนต่างชาติเขาเขียนมาถามเจ้าของภาษากันเยอะครับ และก็มีเจ้าของภาษามาตอบกันเยอะ และรวมถึงในหนังสือไวยากรณ์ระดับสูง เขาก็มีการอธิบายเอาไว้ด้วย แต่ผมไปอ่านแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ามันน่าจะทำให้นักเรียนต่างชาติที่เรียนภาษาอังกฤษ เขาต้องงงกันแน่ๆ เลย

 

ด้วยความที่เราเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ บวกกับว่าโชคดีที่มีครูที่รักที่สนิทกันที่เป็นชาวอเมริกัน (ชื่ออาจารย์ Rochelle) คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมสนทนาด้วยอย่างสม่ำเสมอ (สนิทกันครับ เกือบจะเหมือนแม่-ลูกกันอะไรแบบนั้นน่ะครับ) ผมก็ไปอธิบายความเข้าใจโดยส่วนตัวของผมในเรื่องของความแตกต่างระหว่าง Big กับ Large ให้อาจารย์ Rochelle ฟัง ว่าผมเข้าใจแบบนี้มันถูกหรือเปล่า เพราะเนื่องจากว่าผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีเจ้าของภาษาอังกฤษเขาอธิบายในแบบผมเลยสักคนเดียว (อยากจะไปเช็คว่า ความเข้าใจของเรามันคลาดเคลื่อนอย่างไรบ้าง)

 

และจากการพูดคุยในครั้งนั้น ผมก็ดีใจมากเลยที่อาจารย์บอกว่าผมเข้าใจถูกแล้ว ดังนั้น ผมก็เลยจะมาขอแชร์ในทุกท่านเข้าใจและเอาไปใช้อย่างง่ายดายมากครับ ... คือ

 

คำว่า “Large” แปลว่า “ใหญ่” ในเชิงของขนาดของสิ่งของต่างๆ (เน้นความหมายไปที่ “Size” (ขนาดของสิ่งของ) เช่น เสื้อไซส์ขนาดใหญ่ (Large T-shirt), โค้กแก้วใหญ่ (Large Coke) ฯลฯ

 

แต่คำว่า “Big” แปลว่า “ใหญ่” ในความหมายที่เป็น “ความคิดเห็น” หรือ “ความรู้สึกส่วนตัว” ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่ง เช่นว่า เราว่าเสื้อตัวนี้ใหญ่ แต่คนอื่นเขาอาจจะไม่ได้เห็นว่ามันใหญ่ด้วยก็ได้ ดังนั้นคำว่า “Big” นี้ มันจึงเป็นเรื่องของ Subjectivity (แปลว่า “ใจใครใจมัน คือ เป็นความเห็นเฉพาะบุคคลในด้านของความรู้สึก” อะไรทำนองนั้น)

 

ประโยคที่อาจารย์ Rochelle พูดแบบตลกๆ กับผม ตอนที่เราสนทนาเรื่องนี้กันก็คือ

This shirt is large but it is not big enough for me.

แปล: เสื้อตัวนี้มันก็ใหญ่อยู่นะ (ตามไซส์ที่เราเห็นกัน) แต่มันก็ยังใหญ่ไม่พอสำหรับฉันอ่ะ

(คือว่า “ฉันมันตัวใหญ่มากๆๆๆๆๆ นั่นเอง) ... (หรืออาจจะแปลว่า “สำหรับฉัน มันไม่ถือว่าใหญ่อ่ะ”) อะไรคล้ายๆ แบบนั้นอ่ะครับ

 

คราวนี้มาดูตัวอย่างเพิ่มเติมอีกหน่อยครับ

Alaska is the largest state in the USA.

อลาสก้าเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เราจะไม่ใช้ว่า: Alaska is the biggest state in the USA.

 

Betsy is a very large woman.

เบ็ตซี่เป็นผู้หญิงที่สูงใหญ่และตัวอ้วนด้วย

เราจะไม่ใช้ว่า: Betsy is a very big woman.

 

These jeans are too big for me.

กางเกงยีนส์ตัวนี้มันใหญ่เกินไปสำหรับฉันอ่ะ

เราจะไม่ใช้ว่า: These jeans are too large for me. (เพราะเราพูดว่า “ใหญ่” ในความหมายที่เป็นความเห็นส่วนตัวของเรา)

 

She is a cute baby with a big smile.

เธอ(เขาผู้หญิง)เป็นเด็ก(ทารก)ที่น่ารัก ยิ้มปากกว้างเชียว

เราจะไม่ใช้ว่า: She is a cute baby with a large smile.

 

 

หวังว่าคงพอเข้าใจกันมากขึ้นนะครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก

อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

www.ThaiBizSolutions.com

guest

Post : 2014-05-29 15:15:04.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า ตาย ใช้ Die หรือ Dead

คำว่า ตาย ในภาษาไทย ใช้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Die กับ Dead แต่ใช้ต่างกันดังนี้

 

Die เป็น “คำกริยา(Verb ที่ไม่ต้องการกรรมมาต่อท้าย)

Dead เป็น “คำวิเศษณ์ขยายคำนาม” ที่เรียกว่า Adjective เป็นการ “บอกลักษณะ” ว่า “ตายแล้ว” หรือว่า “ไม่มีชีวิตแล้วนั่นเอง”

 

ดังนั้นเวลาที่เราจะเลือกว่าจะใช้คำไหนดี เวลาพูดภาษาอังกฤษ ก็ให้ดูจากภาพของเหตุการณ์ว่า เราจะพูดเป็น “คำกริยา” (คือแสดง "action") หรือ “คำ Adjective” (คือแสดงลักษณะหรือสภาพ) ยกตัวอย่างเช่น

 

1.) ต้นไม้ของฉันตายหมดเลยอ่ะ (เราก็ควรเลือกใช้ “คำลักษณะ” (Adjective)

Oh, my plants are dead!

 

2.) น้องสาวของเพื่อนฉันเขาตายด้วยโรคมะเร็งปอด

My friend’s sister died of lung cancer.

 

3.) แผ่นดินไหวครั้งนั้นทำให้ผู้คนเป็นพันๆต้องล้มตาย

The earthquake left thousands of people dead.

 

4.) (ตอนนั้น) เขาป่วยหนักมาก และเราก็รู้ว่าเขาอาจจะต้องตาย

He was very sick and we knew he might die.

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง www.ThaiBizSolutions.com

guest

Post : 2014-05-22 10:41:08.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "ทุกวัน" ใช้ Everyday หรือ Every day เขียนติดกันหรือไม่ติด?

 คำว่า "ทุกวัน" นั้น มีคำภาษาอังกฤษให้ใช้สองแบบคือ

Everyday (เขียนติดกัน) กับ Every day (เขียนไม่ติดกัน)

เราใช้ไม่เหมือนกัน ... ดังนี้


Every แปลว่า "ทุกๆ", ส่วนคำว่า day แปลว่า "วัน"

พอมารวมกัน ก็แปลว่า "ทุกวัน" แต่ว่า

1.) Every day แบบเขียนแยกกัน ใช้เป็น "คำนาม" และ "คำวิเศษณ์" (Adverb บอกความถี่หรือความบ่อย) เช่น

1.1) Every day is a good day. = ทุกวันเป็นวันที่ดี

1.2) My father listens to music every day. = พ่อของฉันฟังเพลงทุกวัน


2.) Everyday แบบเขียนติดกัน ใช้เป็น "Adjective" (เอาไว้วางหน้าคำนาม เพื่อเอาไว้ขยายคำนามนั้นๆ) เช่น

2.1) Tesco Lotus's slogan is "Everyday Low Prices."

     = สโลแกนของเทสโก้โลตัสคือ "ราคาถูกทุกวัน" (หมายความว่า ไม่ต้องรอวันหยุดหรือวันลดราคาพิเศษ เรามาได้ทุกวัน เพราะราคาถูกทุกวัน)

2.2) Doing yoga is my everyday activity. = การเล่นโยคะเป็นกิจกรรมที่ฉันทำทุกวัน

 

 

เขียนโดย อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง

http://www.ThaiBizSolutions.com/

guest

Post : 2014-05-07 10:23:26.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  บ้าน House กับ Home ใช้ต่างกันอย่างไร

House กับ Home ใช้ต่างกัน

 

ในภาษาไทย คำว่า  “บ้าน” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า House และ Home แต่ว่าใช้ต่างกันดังนี้ครับ

House แปลว่า “บ้าน” ในความหมายที่เป็นวัตถุ ภาพที่เราเห็นในหัวก็คือบ้านที่เป็นไม้ เป็นตึก เป็นบ้านหลังๆ มีเสา ฯลฯ ซึ่งก็คือบ้านในเชิงกายภาพ

Home คือ “บ้าน” ในเชิงความรู้สึก ในความที่เป็น “นามธรรม” ที่รวมความเป็นครอบครัวเอาไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เขาเป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาด เราจะใช้ Broken home นะครับ คือบ้านที่พ่อแม่ทะเลาะกัน แยกกันไปคนละทาง แล้วลูกก็ไม่มีคนรับผิดชอบ อะไรทำนองนั้น

ในบาง/หลาย เหตุการณ์ ก็ดูเหมือนว่า เราจะใช้ house หรือ home ก็ได้ เพราะภาพความหมายมันใกล้เคียงกัน (ซึ่งในกรณีนั้น จะใช้คำไหนก็ได้ จะโอเคทั้งคู่) แต่โดยพื้นฐานของความเข้าใจแล้ว คุณควรมีภาพของความเข้าใจตามที่อธิบายไว้ข้างต้นนะครับ อันนี้รับรองว่าไม่ผิดแน่นอน เพราะผมทำวิจัยการอธิบายอันนี้มากับอาจารย์และเพื่อนที่เป็นชาวอเมริกันหลายคน รวมถึงอาจารย์คนอเมริกันที่อยู่เมืองไทยมา 40 กว่าปี ที่เข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดีด้วย

 

คราวนี้มาดูตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษกัน

(ตัวอย่างทั้งหมดในวันนี้ ผมนำมาจาก Longman Dictionary ทั้งหมด โดยไม่ได้ดัดแปลงหรือต่อเติม เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า ฝรั่งเขาก็ใช้แบบนี้จริงๆ)

 

1.) You are not allowed to smoke in the house.

แปล: คุณสูบบุหรี่ในบ้านไม่ได้นะครับ เราไม่อนุญาตครับ

 

2.) My uncle has a 5-bedroom house in San Francisco.

แปล: ลุงของผมเขามีบ้านขนาด 5 ห้องนอน อยู่ที่ซานฟรานซิสโกด้วย

 

แต่ ...

3.) The park isn’t far from our home/house. (อันนี้ ใช้ได้ทั้งสองคำ เห็นด้วยมั้ยครับ)

แปล: สวนสาธารณะมันอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเราเลยนะ

 

4.) I was at home watching TV.

แปล: (ตอนนั้น ในเวลาที่ผ่านมาแล้ว) ฉันอยู่บ้าน ดูทีวีอยู่นะ (หรือ ตอนนั้น ฉันดูทีวีอยู่ที่บ้านนะ)

 

5.) He left home at 18.

แปล: เขาออกมาจากบ้านตอนอายุ 18 (อาจจะหนีออกมา / ย้ายไปอยู่ที่อื่น / ไม่อยู่กับครอบครัวอีกต่อไปแล้ว ฯลฯ แล้วแต่สถานการณ์ของเขา)

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

http://www.ThaiBizSolutions.com/

guest

Post : 2014-04-30 16:17:51.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Concerned กับ Worried แปลว่า "เป็นห่วง" แต่ใช้ต่างกัน

Concerned กับ Worried แปลว่า "เป็นห่วง" แต่ใช้ต่างกัน

 

มีคนไทยหลายคนที่ผมพบเจอมา เวลาพูดคำว่า “ผมเป็นห่วงเรื่อง...” เขามักจะใช้คำสับสนระหว่างคำว่า “concerned” กับคำว่า “worried”

ลองมาดูกันนะครับ ว่าใช้ต่างกันอย่างไร

ทั้งสองคำเป็นคำ Adjective ทั้งคู่ เวลาจะนำไปใช้ ก็เอาไปวาง หลัง verb to be หรือ นำหน้าคำนาม

Concerned แปลว่า “ห่วงใย” เช่น เราเป็นเจ้าของโรงงานแห่งหนึ่ง เราห่วง (ห่วงใย) เรื่องความปลอดภัยของพนักงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของเรา

Worried แปลว่า “ห่วงกังวล” เช่น พอเราได้ยินข่าวเรื่องโรงเรียนลูกของเราเกิดไฟไหม้ เราก็เป็นห่วง (กังวล) ว่าลูกเราจะปลอดภัยหรือเปล่า

ดังนั้น เห็นมั้ยครับว่า คำว่า “worried” มันจะมี “ความเครียดที่ต้องคอยลุ้นว่าเหตุการณ์มันจะเลวร้ายลงไปหรือเปล่า” ไม่เหมือนกับ concerned

มาดูการใช้ภาษาอังกฤษกันนะครับ

ตัวอย่างที่ 1:

(เราเป็นเจ้าของโรงงานแห่งหนึ่ง) “ฉันเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพนักงานในบริษัททุกคน”

แปล: I’m concerned about the safety of all staff.

 

ตัวอย่างที่ 2:

(เราได้ยินข่าวเรื่องโรงเรียนลูกของเราเกิดไฟไหม้) “ฉันเป็นห่วง (กังวล) ว่าลูกฉันจะปลอดภัยหรือเปล่า”

แปล: I’m worried about my son.

 

เขียนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

www.ThaiBizSolutions.com

________________________________________________

guest

Post : 2014-04-12 13:43:31.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เทคนิคการทำคำนามนับได้ภาษาอังกฤษจากเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์

เทคนิคการทำคำนามนับได้ภาษาอังกฤษจากเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์

การทำคำนามนับได้ภาษาอังกฤษให้เป็นพหูพจน์ (Plural) โดยมาก เราจะทำกันโดยการเติม “s”

แต่มีคำนามนับได้ในภาษาอังกฤษหลายคำที่ทำตัวพิลึกและผิดปกติเล็กน้อย (Irregular plural nouns) คือมันอาจจะ

 

1.) ไม่ได้เติม “s” ตามปกติ แต่กลับไปเติม “es” แทน ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่า ถ้าเราเติม “s” เฉยๆ เข้าไปท้ายคำต่างๆ ที่มีเสียงลงท้ายเป็น “ส”, “ซ” หรือ “ช” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคือ ตัว ss, x, ch, sh (รวมถึงบางคำที่ลงท้ายด้วยตัว “o” ด้วย) มันจะอ่านออกเสียงไม่ได้ (ถ้าเติม s เฉยๆ) ดังนั้น เราจึงเห็นคำเหล่านี้

glass --> glasses (แก้วน้ำ)

box --> boxes (กล่อง, หีบ)

switch --> switches (สวิทช์ไฟ)

wish --> wishes (ความปรารถนาที่เราส่งคำอวยพรในวาระสำคัญ)

hero --> heroes (วีรบุรุษ)

 

2.) บางคำก็เติมได้ทั้ง s และ es … เช่น mango --> mangoes หรือ mangos (มะม่วง) ก็ได้, photo --> photos (รูปถ่าย)

มีอยู่คำหนึ่งซึ่งพิลึกหน่อยคือ “ox” เวลาเป็นพหูพจน์ เขาใช้เป็น “oxen” (วัวหลายตัว)

 

3.) ถ้าคำนามนั้น ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i ก่อน ... แล้วเติม es

spy --> spies (นักสืบ)

cherry --> cherries (ผลไม้ที่เราเรียกว่า เชอรี่)

แต่ถ้าในคำนั้นมีสระ (a, e, i, o, u) อยู่หน้า y … ก็ให้เราเติม s ไปได้เลย เช่น

key --> keys (กุญแจ)

 

4.) ถ้าคำนามนั้น ลงท้ายด้วย f หรือ fe ... ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v ก่อน ... แล้วเติม es

knife --> knives

แต่ถ้ามีสระอยู่หน้าตัว f หรือว่า เป็นคำลงท้ายด้วย ff ... เราก็เติม s ไปได้เลย เช่น

cliff --> cliffs (หน้าผา)

roof --> roofs (หลังคา)

clef --> clefs (กุญแจ ... หมายถึงเครื่องหมายกุญแจที่อยู่บนบรรทัด 5 เส้น ที่ใช้เขียนเวลาแต่งเพลง)

บางคำก็ได้ทั้งสองแบบเช่น dwarf --> dwarfs หรือ dwarves (คนแคระ) ก็ได้

 

5.) คำบางคำ เวลาเป็นพหูพจน์ มันเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น

man --> men (คน, ผู้ชาย)

woman (ออกเสียง "วู้-มึ่น") --> women (ออกเสียง "วี้-หมิ่น") (ผู้หญิง)

child --> children (เด็ก, ลูก)

mouse --> mice (หนู)

goose --> geese (ห่าน)

tooth --> teeth (ฟัน)

crisis --> crises (วิกฤต หรือ วิกฤตการณ์ ซึ่งหมายถึง “ช่วงเวลาที่กำลังลำบาก”)

index --> indices หรือ indexes (ดัชนีชี้วัด, นิ้วชี้) ก็ได้

appendix --> appendices หรือ appendixes (ไส้ติ่ง, ส่วนที่อยู่ตอนท้ายของรายงาน เป็นส่วนใส่เพิ่ม เช่น ตาราง หรือแผนภาพที่เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้น)

 

6.)บางคำพิลึกกว่านั้น คือ ไม่ได้เติม s ... แต่กลับเติม e บ้าง, เติม a บ้าง, หรือบางทีก็เติม i บ้าง เช่น

formula --> บางทีก็เป็น formulas, แต่บางทีก็เป็น formulae (สูตรที่เป็นส่วนผสมเฉพาะของสารบางอย่าง) เวลาเลือกว่าจะใช้พหูพจน์แบบคำไหนดี ฝรั่งเขาก็จะดูรูปประโยคและดูสถานการณ์ (context) ด้วย ไม่ใช่ว่าใช้คำไหนก็ได้ เพราะมันจะสะท้อนว่าผู้พูดใช้คำฟังดูตลกได้

spectrum --> spectra (แทบรังสีของแสงที่เราเห็นเป็นหลายสี เช่น สายรุ้งที่เราเห็นหลังฝนตก ก็คือ spectrum อย่างหนึ่ง)

alumnus --> alumni (ศิษย์เก่า) ที่มันแปลกๆ แบบนี้ ก็เพราะมันมาจากภาษาลาติน

focus --> foci (จุดโฟกัส)

medium --> media (สื่อ, ตัวกลาง, คนทรงเจ้า)

 

7.) บางคำ เวลาเป็นพหูพจน์ กลับใช้รูปเดิมกับเวลาที่เป็นเอกพจน์ เช่น

fish --> fish (ปลา)

deer --> deer

sheep --> sheep

I have a fish in my aquarium. (ฉันมีปลาตัวหนึ่งอยู่ในตู้)

I have many fish in my aquarium. (ฉันมีปลาหลายตัวอยู่ในตู้)

แต่ถ้าจะหมายถึง “ชนิดของปลา” เราเติม s ได้ ในกรณีที่มี “ปลาหลายชนิด หรือหลายพันธุ์” เช่น

There are thousands of fishes in the world. (มีปลาเป็นพันๆ ชนิด ในโลกของเรา)

 

เขียนโดย ... อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2014-04-09 14:12:23.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "ปกติ", "ปรกติ", "ธรรมดา" ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่าอะไร

คำว่า "ปกติ", "ปรกติ", "ธรรมดา" ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่าอะไร

 

คำว่า “ปกติ” หรือ “ปรกติ” ในภาษาไทยนั้นมีความละเอียดอ่อนอยู่ เราใช้กันได้ในหลายเหตุการณ์ แต่ในภาษาอังกฤษบางทีมันก็เป็นคำว่า Normal … หรือบางทีก็เป็นคำว่า Usual … และอีกบางทีก็เป็นคำว่า Regular หรืออาจจะเป็น Common (สงสัยบ้างมั้ยครับ ว่าจะใช้อย่างไรดี)

 

ถ้าจะมาพูดถึงคำ 4 คำข้างต้น ในภาษาอังกฤษ สำหรับในบางเหตุการณ์ก็ใช้ 2 จาก 4 คำนั้นได้เหมือนๆ กัน แต่ในบางเหตุการณ์ก็ใช้ได้เฉพาะบางตัว ทั้ง 4 คำนี้ เป็น Adjective หมดเลย ซึ่งเวลาจะใช้ก็เอาไปวางหน้าคำนาม หรือวางหลัง V. to be ... ความแตกต่างอยู่ตรงนี้ครับ

 

1.       Normal แปลว่า ปกติที่เป็นไปตามแนวโน้ม, ปกติเหมือนคนส่วนใหญ่, ไม่ได้บ้า, ไม่ได้เพี้ยน, ไม่ได้พิลึก

2.       Usual แปลว่า ปกติ หรือปรกติ ซึ่งก็คือเหมือนการเกิดขึ้นเป็นประจำ หรือเกิดขึ้นเหมือนอย่างเดิมๆ อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นมา มักจะมองเปรียบเทียบในช่วงเวลา หรือเปรียบเทียบอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

3.       Regular แปลว่า ปกติแบบว่าไม่ใหญ่ไปไม่เล็กไป ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทของที่เป็นของที่คัดพิเศษหรือไม่ได้อยู่ในประเภทผู้เชี่ยวชาญ อะไรทำนองนั้น

4.       Common แปลว่า ปกติธรรมดา หรือว่าธรรมดาแบบพื้นๆ พบหาได้ดาษดื่นทั่วไป ไม่ใช่ของหายาก ไม่ได้เป็นของพิเศษ หรือไม่ได้วิเศษวิโศอะไรนั่นเอง

คราวนี้มาดูตัวอย่างประโยคนะครับ

1.       High temperatures are normal for this time of year.

อุณหภูมิสูงมันก็เป็นธรรมดาสำหรับช่วงเวลานี้ของ(แต่ละ)ปี

 

2.       It is normal to feel nervous before an interview.

มันก็เป็นปกตินะที่จะรู้สึกตื่นเต้นก่อนจะเข้าไปสัมภาษณ์งาน

 

3.       I’ll meet you at the usual time.

ฉันจะไปเจอเธอตามเวลาที่เรานัดเจอกันตามปกตินะ

 

4.       Today I will cook the pasta in the usual way.

วันนี้ ฉันจะทำพาสต้าในแบบที่ฉันทำเป็นประจำๆ ให้คุณกินนะ

 

5.       I would like a cheeseburger and a regular Coke.

ผมขอสั่งชีสเบอร์เกอร์แล้วก็โค้กขนาดกลาง (หรือขนาดปกติ) แก้วหนึ่งครับ

 

6.       I have been a regular customer to this restaurant since I was 10.

ฉันเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้มาตั้งแต่ 10 ขวบแล้ว

 

7.       This painting looks very common. Why is it so expensive?

รูปสีน้ำมัน(หรือรูปสีน้ำ)นี้มันดูธรรมดา(พื้นๆ)มากเลยอ่ะ แล้วทำไมมันถึงแพงนักอ่ะ

 

8.       Bone disease is common among old women.

โรคกระดูกพรุนนี่ไม่ใช่ของแปลก (ไม่ใช่ของที่หาพบได้ยาก) สำหรับผู้หญิงสูงวัย

 

และยังมีบทความสาระความรู้ด้านภาษาอังกฤษอื่นๆ อีกมากมายที่ http://www.ThaiBizSolutions.com/ นะครับ

... อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2014-03-23 17:51:19.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >   เคล็ดลับการตอบคำถามภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง

 เคล็ดลับการตอบคำถามภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง

ไม่ว่าฝรั่งเขาจะถามคำถามมาเป็นแบบมีคำว่า “Not” หรือ ไม่มีคำว่า “Not” ก็ตาม ถ้าคำตอบของเราเป็นอย่างไร ก็จงตอบไปอย่างนั้น อย่าไปคิดเหมือนภาษาไทยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น

ตัวคุณไม่ชอบทานชีส (เนยแข็ง) เลย แล้วฝรั่งเขาถามมาว่า

Do you like cheese?

คุณก็จะตอบว่า No, I don’t. อันนี้ง่ายๆ ทุกคนคงทราบอยู่แล้ว

แต่ถ้าเขาเกิดถามว่า Don’t you like cheese?

คุณก็ยังต้องตอบว่า No, I don’t. อยู่ดี เพราะในความเป็นจริงก็คือ “คุณไม่ชอบกินชีส”

เนื่องจากฝรั่งเขาไม่ได้คิดแบบคนไทย ในเรื่องของการตอบคำถามแบบปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ ดังนั้นต้องระวังให้ดีนะครับ เวลาที่เจอคำถามที่เป็นปฏิเสธ

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการถามสองแบบนี้ ผู้ถามเขามีเจตนาต่างกัน ... ดังนี้ครับ

Do you like cheese? คนถามมีเจตนาจะถามว่า “คุณชอบกินชีสหรือเปล่าอ่ะ” คือเขาไม่รู้ว่าคำตอบของคุณจะเป็น ชอบ หรือ ไม่ชอบ

แต่ถ้าเขาถามว่า Don’t you like cheese? เขามีเจตนาจะถามในแง่ที่ว่า “เขาคิดว่า / เชื่อว่า / เดาว่า / เหมาว่า คุณน่าจะชอบชีสนะ” เขาก็เลยถามว่า “คุณไม่ชอบชีสหรอกเหรอ

ถ้าคำตอบของคุณคือ คุณไม่ชอบจริงๆ คุณก็ต้องตอบว่า “ผมไม่ชอบครับ” No, I don’t.

หวังว่าพอจะกระจ่างขึ้นบ้างนะครับ ถ้าใครมีปัญหาเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ หรือต้องการทราบอะไร ก็เขียนมาถามเราได้ครับ ถ้าเรามีเวลาที่ว่างจากงานหลัก ก็จะมาตอบให้ครับ

ด้วยความปรารถนาดี

... อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง

guest

Post : 2014-02-17 16:13:57.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ฝึกพูดภาษาอังกฤษ เรื่องทรงผมต่างๆ และศัพท์ที่ร้านตัดผม

มาฝึกพูดภาษาอังกฤษเรื่องทรงผมต่างๆ และวิธีการบอกช่างทำผมว่าเราอยากได้ผมทรงนั้นทรงนี้ เพื่อว่าเราจะได้ไม่ต้องมาห่วงกังวลว่าอาจจะไม่ได้ทรงผมตามที่เราต้องการนะครับ

ผมม้า = Bang(s)

ผมซอย = Layers
ผมเกล้า = Updo
ผมมัด (เอาไว้ข้างหลัง) = Bun
ผมมัด (เอาไว้ข้างซ้าย-ขวา) = Pigtail(s)
ผมผูกหนังยางข้างหลัง = Ponytail
ผมดัด = Perm
ผมฟูๆ ทั้งศีรษะ = Afro
ผมถักเปีย = Braid
ผมถักเปียติดหนังหัว = Cornrows
ผมที่ทำล็อนเล็กๆ ทั้งศีรษะ = Dreadlocks
ผมทรงสกินเฮด (โกนหัว) = Buzz cut
ผมที่ใส่เจลให้ผมดูแหลมๆ = Spiked hair
ทรงโมฮอค = Mohawk
แสก (รอยแสกจากการแบ่งผม) = Part

เวลาจะบอกช่างทำผม เราควรพูดอย่างไรดี
1. (ที่ร้านตัดผม) ผมอยากตัดทรง .... อ่ะค่ะ/ครับ
I would like to have/get/do a …ชื่อทรงผม…, please.
 
2. (ทักทายเพื่อนที่เราเห็นว่าไปตัดผมมา) นี่คุณไปตัดผมใหม่มาเหรอ
Did you get a new haircut?
 
3. คุณชอบทรงผมที่ฉันตัดใหม่นี่รึเปล่าอ่ะ
Do you like my new haircut?
 
4. นี่เธอไปดัดผมมาเหรอ
Did you get a new perm?
 
หวังว่าทุกท่านจะพอได้ประโยชน์จากเืรื่องนี้กันบ้างนะครับ
ถ้าต้องการหาข้อมูลบทความที่เป็นความรู้ด้านภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ลองเข้ามาดูที่เว็บไซต์ของเราได้ครับ ที่ http://www.ThaiBizSolutions.com/
ด้วยความปรารถนดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง
 

guest

Post : 2014-02-01 11:46:54.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เทคนิคการพูดแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ

การแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ

เวลาเราจะได้เจอเพื่อนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน หรือในชมรมต่างๆ ที่มีชาวต่างชาติ เราสามารถแนะนำตัวแบบง่ายๆ ได้ดังนี้ (หรือจะดูวิดีโอคลิปประกอบด้วยก็ได้ครับ)

1.) บอกชื่อ

Hi, my name is .... (ชื่อเรา) ......

(แปลว่า) สวัสดีครับ ชื่อของผมคือ ......................

My nickname is .....

(แปลว่า) ชื่อเล่นของผมคือ ... (ชื่อเล่นของเรา) .....

You can call me .............

(แปลว่า) คนสามารถเรียกผมว่า ......... (ชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งของเรา) .......

 

2.) บอกว่า เราเป็นคนที่ไหน หรือมาจากประเทศอะไร

I am Thai.

(แปลว่า) ผม/ฉันเป็นคนไทย

I am from Thailand.

(แปลว่า) ผมมาจากประเทศไทย

 

3.) บอกว่า เราทำงานอะไร

I am a marketing consultant and English-language teacher.

หรือ I work as a marketing consultant …. ก็ได้

(แปลว่า) ผมทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ

 

4.) พูดว่า “เรายินดีที่ได้รู้จักเขา” (พร้อมกับการพูดแบบสบายๆ ไม่ต้องตื่นเต้น รู้สึกเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคน อย่าไปคิดว่ามีใครมากำลังจับผิด หรือคิดไม่ดีกับเราอยู่)

It’s (very) nice to meet you. หรือจะย่อๆ ว่า Nice to meet you.

It’s a pleasure to meet you.

(แปลว่า) ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณ/พวกคุณ

 

แล้วจากนั้น ก็นั่งลงที่เก้าอี้ของเราแบบสบายๆ ใจเย็นๆ แล้วก็ยิ้มให้กับทุกคน เท่านั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย เราอาจจะตื่นเต้นไปบ้างหรืออาจจะพูดแล้วฟังดูไม่ราบรื่นเท่าที่ควรก็ไม่เป็นไร เขาให้อภัยเราอยู่แล้วครับ ... ลองดูครับ เอาใจช่วยนะครับ

guest

Post : 2013-12-21 16:26:41.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้ผิดเยอะมาก: คำว่า “ภายใน” ใช้ว่า within หรือ by กันแน่?

ภาษาอังกฤษที่พวกเราคนไทยใช้ผิดกันเยอะมาก ตอนที่ 1:

คำว่า “ภายใน” ใช้ว่า within หรือ by กันแน่? (ต่างกันนะครับ)

 

เนื่องจากแต่ก่อนนี้ ผมก็เคยใช้คำว่า “ภายใน” ผิดมาก่อนเหมือนกัน พอได้ความรู้เรื่องภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นก็เลย คิดว่า เราน่าจะแชร์ให้เพื่อนๆ พี่น้องคนไทย ใช้กันให้ถูกด้วยนะครับ

เนื่องจากคำว่า “ภายใน” ถ้าจะมองกันในแง่ของการใช้เป็น Preposition (บุพบท) ก็ตรงกับภาษาอังกฤษ 2 คำ ที่แตกต่างกัน คือ within กับ by .... ถ้าเราแปลคำพูดโดยการ “แปลแบบคำต่อคำ” เราก็มีโอกาสใช้ผิดสูง ... คราวนี้ มาดูกันว่าจะใช้อย่างไร

                           1.) Within แปลว่า “ภายใน” ในความหมายว่า “ภายใน (ช่วงเวลาที่มีความยาวของเวลา)” เช่น ...

a.   ฉันไม่สามารถจะทำงานนี้เสร็จได้ภายในเวลา 3 วันหรอก

แปล: I can’t finish this work within 3 days. (หรือจะใช้ I can’t finish this work in 3 days. ก็ได้ครับ)

b.   ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถกินอาหารจานนี้หมดได้ภายในเวลา 10 นาที หรอก (เพราะอาหารมันจานใหญ่มาก อะไรทำนองนั้น)

แปล: I don’t believe that he can finish this dish within 10 minutes.

 

2.) By แปลว่า “ภายใน” ในความหมายว่า “ภายใน (จุดเวลาปลายทาง ซึ่งคล้ายๆ กับว่า มันเป็นเวลาที่ถึงกำหนด)” เช่น ...

a.   กรุณาส่งคำตอบของคุณภายใน 4 โมงเย็นนะคะ

แปล: Please send your response by 4 p.m..

b.   รายงานจะต้องเรียบร้อยภายในวันอังคารหน้านะ

แปล: The report must be ready by next Tuesday.

 

หวังว่า คงพอจะได้รับความกระจ่างบ้างนะครับ ถ้ามีประเด็นที่อยากรู้เพิ่มเติม ก็เขียนถามมาได้ในหน้าเว็บของ Facebook หรืออาจจะเข้าไปโพสต์ที่หน้าเว็บของเรา www.ThaiBizSolutions.com ก็ได้นะครับ

guest

Post : 2013-12-05 10:13:58.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  การเขียนการ์ด-ส่งคำอวยพร Christmas + ปีใหม่ เป็นภาษาอังกฤษ

การเขียนการ์ด-ส่งคำอวยพร Christmas + ปีใหม่ เป็นภาษาอังกฤษ


ขอเสนอ 2 วิธีง่ายๆ นะครับ คือ ...

1.)  ใช้ verb คำว่า “wish” (กริยา) = ขอให้ (คุณ) มี (สิ่งดีๆ)

2.)  ใช้ verb ช่วย (Modal Verb) คำว่า “May= ขอให้ ....

 

คราวนี้ ลองมาดู “คำนาม” ที่เป็นความปรารถนาดี ที่เราจะใช้ส่งไปหากันนะครับ เช่น ...

good health = สุขภาพที่ดี

wealth = ความมั่งคั่ง, ความร่ำรวย

success = ความสำเร็จ

prosperity = ความเจริญรุ่งเรือง

happiness = ความสุข

even better life = ชีวิตที่ดียิ่งๆ ขึ้นไป

love = ความรัก

lots of love หรือ a lot of love = ความรักเยอะๆ

เลือกเอาสัก 2-4 อัน เพื่อจะส่งไปหาคนที่เรารัก

 

ตัวอย่างการเขียน ขึ้นต้นโปสการ์ด:

I would like to wish you ………….. (ใส่ “กลุ่มคำนาม” สัก 2-4 อัน ที่เราชอบ)

I want to wish you …………….

 

May this new year bring you …………..!

May your new year be filled with …………………..!

ในแบบที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “May” เราจะจบประโยคด้วย period (ที่คนไทยเรียกว่า “full stop”) หรือ เครื่องหมาย “ตกใจ” (exclamation mark / exclamation point) ก็ได้

 

คำลงท้ายโปสการ์ด:

ถ้าสนิทหน่อย ก็ใช้ว่า Love, หรือ Lots of love, หรือ Best of love,

ถ้าไม่ค่อยสนิทก็ใช้ว่า Best wishes, แล้วอีกบรรทัดหนึ่ง ก็ค่อยลงชื่อเรา

หรืออาจจะใช้ Healthy happy new year! = ขอให้มีปีใหม่ที่มีความสุขและมีสุขภาพดีด้วยครับ

... เช่น

 

คราวนี้มาดู ตัวอย่างการ์ด ว่าเราจะเขียนยังไงนะครับ:

Merry Christmas, Laura!

 

I would like to wish you good health, a lot of success and great happiness.

หรือ May this New Year bring you lots of love and happiness!

 

With love,

Zac

guest

Post : 2013-11-26 15:05:06.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า “เมนู” ที่คนไทย ใช้ผิดกันเยอะมาก ... ถึงมากที่สุด

คำว่า “เมนู” ที่คนไทย ใช้ผิดกันเยอะมาก ... ถึงมากที่สุด

คำว่า “Menu” แปลตามศัพท์ (Longman Dictionary) คือ A list of all the types of food that are available for a meal, especially in a restaurant ... แปลว่า List รายการของชื่ออาหารต่างๆ ที่มีขายอยู่ในร้านอาหาร (ซึ่งก็คือรูปเล่มที่เราเอาไว้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลในการสั่งอาหารนั่นเอง)

แต่ทุกวันนี้ คนไทยเราพยายามจะเอาคำภาษาอังกฤษมาใช้ แต่ใช้ผิดกันเยอะมาก โดยเฉพาะในรายการทำอาหารที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ให้เราเห็นกันอย่างดาษดื่นทุกวันนี้ ... ยกตัวอย่างที่เขาพูดกันผิดๆ อยู่ก็คือ อย่างเช่น

พิธีกรไทย: วันนี้ เราจะมานำเสนอ “เมนู” สุดแสนอร่อยให้คุณผู้ชมได้ลองทำกันดู นะคะ

ที่ถูก: วันนี้ เราจะมานำเสนอ “รายการอาหาร” สุดแสนอร่อยให้คุณผู้ชมได้ลองทำกันดู นะคะ

ในสถานการณ์ข้างต้นนี้ คำว่า “รายการอาหาร” จะตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษคำว่า “Recipe” (ออกเสียงว่า “เร็ซ-ซิ-พี”) หรือจะใช้คำว่า “Dish” ก็ได้ ... ไม่ใช่ “Menu” นะครับ

คำว่า “รายการอาหาร” ในสถานการณ์อื่นๆ ที่ตรงกับศัพท์คำว่า “Menu” ก็มี อย่างเช่น “น้องๆ ... ขอดูเมนูหน่อยครับ” ซึ่งสามารถพูดเป็นภาษาไทยล้วนๆ ได้ว่า “น้องๆ ... ขอดูรายการอาหารหน่อยครับ” (หมายถึง ขอเล่มรายการอาหารหน่อย เนื่องจากผมจะสั่งอาหารแล้ว)

คราวนี้ ลองมาแปลเป็นภาษาอังกฤษกันนะครับ ว่าที่ถูกสำหรับคำว่า “รายการอาหาร” เราจะใช้อย่างไร (ใน “สอง” ความหมายที่แตกต่างกัน)

1.) พิธีกรคนไทยที่สาธิตการทำอาหาร: “วันนี้ เราจะมานำเสนอ “เมนู” สุดแสนอร่อยให้คุณผู้ชมได้ลองทำกันดู นะคะ”

Today, we are going to present you with a very delicious recipe.

(มันมีวิธีพูดภาษาอังกฤษในความหมายนี้ ในหลากหลายรูปแบบนะครับ แล้วแต่สไตล์ในการพูด ... ที่ผมนำเสนอนี้ เป็นแค่การแปลแบบตรงไปตรงมา สั้นๆ ง่ายๆ)

2.) น้องๆ ... ขอดูเมนูหน่อยครับ

Waiter!  Can I see the menu, please?

 

เห็นมั้ยครับว่า คำว่า “รายการอาหาร” ที่คนไทยเราใช้กันอยู่นั้นมันตรงกับทั้งคำว่า “Menu” และ “Recipe” เลย ... ขึ้นกับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เรากำลังเจออยู่ ... ยังมี “คำทับศัพท์” ที่พวกเราคนไทยใช้ผิดกันในลักษณะนี้อีกเยอะมาก ... ระวังนะครับ เวลาพูดภาษาอังกฤษ อย่าไปจำการใช้ผิดๆ ที่พวกเราพูดกันอยู่จนเคยชินหรือจนติดปาก เดี๋ยวฝรั่งเขาจะงง

guest

Post : 2013-11-09 21:45:59.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  กฏหมายนิรโทษกรรม ภาษาอังกฤษ

มาเรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันกันแบบเนื้อๆ เน้นๆ กันครับ

เวลาเราจะแปลหรือพูดภาษาอังกฤษเนี่ย ขอย้ำว่า (ที่ผ่านมาผมก็ย้ำมาหลายครั้งแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ) เราไม่ได้แปลแบบเอาศัพท์เป็นตัวๆ มาวางเรียงต่อๆกัน ดังนั้น วิธีการที่คนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษแบบสักแต่ท่องศัพท์อย่างเดียว นั่นจึงไม่ถูก ถ้าเราทำแบบนั้น มันจะเป็นประโยชน์น้อยเหลือเกิน เพราะว่าเราจะนำมันมาใช้พูดหรือเขียนไม่เป็น คุณว่ามั้ยครับ ... เราควรต้องสอนให้เด็กไทยหรือคนไทยโดยทั่วไปรู้จัก “วิธีการคิดแบบฝรั่ง” และนี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “Grammar” ... ลองมาฝึกกันเลยนะครับ (ถ้าใครอยากนำไปใช้ ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ) เช่น ประโยคหนึ่งที่กำลังฮิตมากตอนนี้:

1.)          พวกเราคนไทยไม่ยอมรับ (หรือไม่เห็นด้วย หรือไม่ต้องการ หรือไม่เอา) กฏหมายนิรโทษกรรม

กฏหมายนิรโทษกรรม เขาเรียกว่า “Amnesty Bill” เวลาจะใช้ต้องมี “the” ด้วย เพราะเรารู้ต้องตรงกันว่าเป็นกฏหมายอันไหน ดังนั้น เราจึงต้องพูดว่า:

We, Thai people, do not agree with the Amnesty Bill. หรือ

We, Thai people, disagree with the Amnesty Bill. หรือ

We, Thai people, do not want the Amnesty Bill. (แบบนี้ใช้คำง่ายๆ เลยก็ได้)

 

2.)          ก่อนอื่น ขอผมชี้แจงจุดยืนของผมก่อนนะครับ

First of all, let me clarify my standpoint.

 

3.)          ฉันไม่ได้เป็นพวกเสื้อแดง และฉันก็ไม่ได้เป็นพวกเสื้อเหลือง

I am not a Red-Shirt supporter.  Neither am I a Yellow-Shirt supporter.

 

4.)          ฉันเป็นแค่คนไทยที่รักประเทศไทย รักคนไทยทุกคน และรักโลกนี้

I am just a Thai person who loves his own country, (who loves) all the Thai people and (who loves) this planet.

 

5.)          คนเห็นแก่ตัวคือคนที่คิดแต่จะทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง

Selfish people are people who do things only for their own benefit and for the benefit of their groups of friends.

 

6.)          ลองถามตัวเองดูซิว่า คุณกำลังทำเพื่อส่วนรวมหรือทำเพื่อตัวเองกันแน่

Ask yourself if you are really doing this for the community (or for your own benefit). (ใช้ yourself หรือ yourselves ก็ได้ครับ แล้วแต่ว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์)

 

7.)          มีคนถามผมว่า ทำไมผมถึงต้องมาห่วง(หรือแคร์)เรื่องการเมืองด้วย

Somebody asked me why I have to care about politics.

(เวลาใช้คำว่า “care” ต้องระวังนะครับ เพราะเวลาพวกเราคนไทยใช้คำว่า “care” เนี่ย เรามักจะพูดว่า เช่น “ฉันแคร์เธอนะ” แล้วหลายคนชอบแปลผิดเป็นว่า “I care you.” ... ที่ถูก คุณต้องพูดว่า “I care about you.”

 

8.)          ผมตอบว่า “ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องการเมือง แต่ฉันห่วงประเทศของเรา และห่วงคนไทยทุกคนต่างหากล่ะ”

I replied, “I don’t care about politics but I care about our country and all the Thai people.”

 

9.)          อันที่จริง นอกจากเราควรรักคนไทยด้วยกันและรักประเทศไทยแล้ว เราก็ควรรักโลก และรักเพื่อนร่วมโลกที่ต่างเชื้อชาติ-ต่างศาสนาด้วยไม่ใช่หรือ?

Actually, not only should we love all the Thai people and our country, (but) we should also love the Earth and people of different races and different religions, shouldn’t we?

 

10.)       เมื่อคุณได้มีโอกาสอยู่ในคณะรัฐบาลแล้ว ทำไมคุณไม่ใช้เวลาอันมีค่าของคุณเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ลำบากยากไร้ก่อนเล่า เพราะประชาชนเหล่านั้นยังรอความช่วยเหลืออีกมากมาย

When you have (got) a chance to be in the Cabinet, why don’t you make use of your valuable time by helping troubled people or people who are suffering?

การเขียนคำว่า “คณะรัฐบาล” เป็นภาษาอังกฤษเนี่ย ฝรั่งเขาจะสะกดคำว่า “Cabinet” ด้วยตัว “C ใหญ่ นะครับ

 

11.)       ทำไมคุณถึงได้มัวแต่มาเสียเวลาเพื่อคนๆเดียวอยู่นานมากแล้ว เมื่อไหร่มันถึงจะจบเสียที

(ต้องใช้ Present Perfect Continuous Tense นะครับ)

Why have you been wasting a great deal of time only for one single person? When is it going to be finished?

 

12.)       ถ้าคุณกำลังแสดงตัวอย่างโจ่งแจ้งและอย่างหน้าไม่อายว่า คุณกำลังใช้เวทีการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพวกเดียวกันเอง นั่นก็แปลว่าคุณกำลังประกาศให้โลกรู้ว่าคุณไม่ได้คิดถึงส่วนรวมเลย

If you are using this opportunity just for your own benefit obviously and shamelessly, that means you are showing the world that you’re not doing it for the community at all.

 

13.)       อนาคตของประเทศไทย (รวมถึงอนาคตของโลกด้วย) อยู่ในมือเราทุกคน

Thailand’s future (as well as the world’s future) is in the hands of every one of us.

(คำว่า “every one” ในที่นี้ เราอย่าเขียนติดกันนะครับ เพราะเราไม่ได้ใช้มันในความหมายว่า “ทุกคน”)

 

14.)       คุณทำอะไรไป คุณก็จะได้รับผลกรรมของการกระทำนั้น

You will have to pay for what you have done.

 

15.)       มันยากนักหรือ กับการที่จะบริหารประเทศแล้วคิดถึงคนส่วนใหญ่จริงๆ โดยไม่ใช่ว่าปากพูดอย่าง แล้วแอบทำอีกอย่าง

Is it really that difficult to administer our country’s affairs by focusing on the community? Not that you’re saying one thing in public and doing another thing behind our back.

 

16.)       คุณจงอย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ รวมทั้งอย่าเชื่อผมด้วย แต่จงใช้วิจารณญาณของตัวคุณเอง

Don’t believe anyone too easily. And don’t believe me too easily, either. But, you shall use your own consideration and judgment.

 

guest

Post : 2013-11-06 10:09:26.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คอมเม้นท์รูปสถานที่เที่ยวเป็นภาษาอังกฤษทาง Facebook-03

เรามีข้อความสำเร็จรูปที่จะใช้เขียนคอมเม้นท์รูปสถานที่ท่องเที่ยวที่เพื่อนโพสต์ลงใน Facebook มาแชร์กันครับ ต้องขอย้ำว่า จุดประสงค์ของเราคือเพื่อเป็นการสอนภาษาอังกฤษอย่างง่ายให้กับบุคคลทั่วไป ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่สวิงสวายมาก และเราเน้นข้อความแซวกันเล็กๆ น้อยๆ ... ไม่เน้นคำพูดที่ฟังดูรุนแรงเสียหายนะครับ

1.) นั่นเป็นสถานที่ที่สวยมากเลย = That is such a beautiful place. หรือ That’s such a lovely place. หรือ What a beautiful place!

2.) ถ้าฉันได้ไปอยู่ตรงนั้นกับเธอ (ได้ไปเที่ยวกับเธอ) ได้ก็ดีอ่ะสิ = I wish I had been there with you.

3.) ฉันว่าเธอต้องได้เที่ยวสนุกมากๆ แน่เลย = I’m sure you had a good time there.

4.) ขอบคุณนะที่เอารูปสวยๆ มาแชร์ให้พวกเรา = Thank you for sharing this picture with us.

5.) คุณต้องมีช่วงเวลาที่มีความสุขสุดยอดแน่ๆเลย = You must have had a wonderful moment.

6.) หืม! เห็นแล้วมันทำให้ฉันอยากไปเที่ยวที่นั่นบ้างอ่ะ = That makes me want to visit that place some time.

7.) ฉันก็เคยไปที่นั่นเหมือนกัน มันสวยมากเลย = Oh, I’ve been there before, too. I loved it very much.

8.) มันเจ๋งดีอ่ะ = Wow, that’s cool!

9.) ไว้เราหาเวลาไปเที่ยวที่นั่นด้วยกันบ้างนะ = Let’s go there together some time.

10.) โห ... มันดูดีจังเลยอ่ะ = That looks great.

 

guest

Post : 2013-11-02 19:52:47.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ประโยคภาษาอังกฤษ ใช้คอมเม้นท์เพื่อนทาง Facebook-02

B.) เวลาเพื่อนเขาโพสต์รูปตัวเขาเอง อย่างเช่น ผมมีเพื่อนรักที่เป็นผู้หญิงที่เวลาเขาแต่งหน้าสวยๆ เขาก็จะมาโพสต์รูปของเขาลง เราก็เขียนชมและแซวแบบนี้ก็ได้ครับ (เราเน้นประโยคที่แซวแบบในแง่สร้างสรรค์และในแง่บวกนะครับ)

 

1.) เธอดูสวยจังเลยอ่ะ (สำหรับผู้หญิง) = You look very beautiful.

2.) โห เธอช่างสวยเหลือเกิน = You are gorgeous.

3.) คุณหล่อมากเลย = You are very handsome.

4.) มันเท่ดีอ่ะ (ใช้กับเพื่อนผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้) = That’s cool.

5.) เธอสวยราวกับนางฟ้าแน่ะ (ชมปนแซวแบบเว่อร์ๆ) = You are beautiful as an angel.

6.)  นั่นคือนางฟ้ารึเปล่าเนี่ย = Is that an angel?

7.) นี่เธอเป็นนางงามจักรวาลได้เลยนะเนี่ย = You could be Miss Universe.

8.) แต่งหน้าได้สวยมาก (กัดๆ นิดหนึ่ง คือไม่ได้ชมเขาว่าสวย แต่ชมเรื่องการแต่งหน้าแทน) = Very nice makeup!

9.) (รูปเพื่อนผู้ชาย) รูปนี้หล่อมากเลย = That is a nice picture. หรือ That is a nice photo of you. หรือ You look very handsome in this picture.

10.) คุณทำให้ฉันนึกถึง ... (ใส่ชื่อนักแสดงหล่อๆ หรือ สวยๆ ที่เราจะชมว่า เพื่อนเราดูเหมือนเขา) = You remind me of Taylor Lautner. (พระรองในเรื่อง Twilight) หรือ You remind me of Kristen Stewart. (นางเอกเรื่อง Twilight)

 

11.) (เขาโพสต์ท่าเป็นนายแบบ-นางแบบ มากเลย เราก็แซวว่า) นี่เธอเป็นนายแบบ (หรือนางแบบ) ได้เลยนะเนี่ย = You could be a model.

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53)

guest

Post : 2013-11-01 11:37:47.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ข้อความสำเร็จรูป สำหรับคอมเม้นท์ Facebook ของเพื่อน-01

เวลาเราจะคอมเม้นท์รูปภาพที่เพื่อนของเราโพสต์ลง Facebook เนี่ย เราก็สามารถเขียนได้หลายสไตล์ครับ แล้วแต่อุปนิสัยและธรรมชาติของเรา วันนี้ผมจะเสนอประโยคที่เราจะคอมเม้นท์แบบทั้งชื่นชมแล้วก็มีทั้งแซวเล่นๆ แบบเป็นกันเองนะครับ

* หมายเหตุ: ผมจะไม่มีข้อความประเภทที่แซวแรงๆ เกินไปนะครับ เพราะสงสารเขาอ่ะครับ เพราะบางทีเราขำที่ได้แซวไป แต่เพื่อนเขารู้สึกไม่ดี ดังนั้น อย่าทำแบบนั้นเลยนะครับ

A.) เวลาเพื่อนโพสต์รูปอาหารสวยๆ น่ากินๆ ที่เขาไปรับประทานมา เราก็พูดแบบนี้ได้ครับ

1.) โห นั่นดูดีมากเลย = Oh, that looks really nice!

2.) ว้าว! นั่นดูอร่อยดีเนอะ = Wow, that looks delicious!

3.) มันดูน่ากินมากเลยอ่ะ = That looks very appetizing.

4.) หืม! มันทำให้ฉันหิวเลยอ่ะ = That makes me hungry.

5.) ท้องฉันร้องแล้วเนี่ย (คือเห็นแล้วหิวอะไรประมาณนั้น) = My stomach is growling.

6.) หืม! มันทำให้ท้องฉันร้องเลยอ่ะ = That gets my stomach growling

7.) ไว้วันหลังเราไปกินที่นั่นกันนะ = Let’s go there together sometime.

8.) หืม! อาหารนี่มันสวยและแหวกแนวสุดๆ = That is outrageous!

 

guest

Post : 2013-10-14 19:01:45.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เคล็ดลับให้เก่งภาษาอังกฤษ - โดยการฝึกพูดเช้า-เย็น

เคล็ดลับให้เก่งภาษาอังกฤษ - โดยการฝึกพูดตั้งแต่เช้าจรดเย็น

 

คุณควรจะเอาภาษาอังกฤษให้เข้ามาอยู่ในตัวคุณ เสมือนว่าภาษาอังกฤษก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณด้วย เริ่มตอนนี้และเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ฝึกพูดประโยคง่ายๆ เหล่านี้ ตั้งแต่ที่คุณตื่นนอนมาเลย แล้วก็พูดต่อไปเรื่อยๆ ในระหว่างวัน ให้ติดปาก พูดง่ายๆ ก็คือ คุณควรฝึกพูดในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ ตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอนเลย ... แล้วเน้นว่า คุณควรออกเสียงให้ชัดๆ ด้วย

 

 

1. วันนี้ผมตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า = Today I got up at 7 o’clock.

2. โอ้ ... แย่แล้วผมตื่นนอนสาย = Oh, I woke up late.

3. โอ้ ... ตอนนี้ ผมกำลังจะไปทำงานสายแล้ว = Oh, I’m running late.

4. ตอนนี้ ผมอาบน้ำอยู่ = Now, I’m taking a shower. (หรือ … taking a bath.)

5. วันนี้ รถติดมากเลย = The traffic is very bad today.

6. วันนี้ รถไม่ค่อยติดเลย = The traffic is not very bad today.

7. ตอนนี้ ฉันถึงที่ทำงานแล้ว = Now I’ve arrived at the office.

8. วันนี้ งานเยอะมากเลย = Today, my work is very busy. (... very hard ก็ได้)

9. เดี๋ยวฉันกำลังจะออกไปกินข้าวเที่ยงที่ The Emporium = I’m going to have lunch at The Emporium.

10. วันนี้ งานฉันเสร็จแล้ว = I have finished my work for today.

11. เดี๋ยวฉันกำลังจะกลับบ้านแล้ว = I’m going home now.

12. ฉันเหนื่อยมากเลย = I’m very tired.

13. เดี๋ยวเย็นนี้ เธอจะกินอะไรอ่ะ = What are you having for dinner?

14. เดี๋ยวฉันจะกินข้าวกับผัดผัก = I’m having rice with stir-fried vegetables.

15. เดี๋ยวเธอจะเข้านอนกี่โมง = What time are you going to bed?

16. เดี๋ยวฉันจะเข้านอนตอนห้าทุ่ม = I’m going to bed at 11 o’clock.

17. ราตรีสวัสดิ์นะครับ = (Have a) good night.

 

ฝึกพูดซ้ำๆ แบบนี้ทุกวัน แล้วจากนั้นค่อยเปลี่ยนประโยคไปเรื่อยๆ ... ลองฝึกดู เราเอาใจช่วยนะครับ

 

ดูคลิปวิดีโอประกอบเนื้อหาเรื่องนี้ได้ทาง YouTube ลิงค์นี้:

http://www.youtube.com/watch?v=wzjJrsWzeRs

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง http://www.ThaiBizSolutions.com/

 

guest

Post : 2013-10-14 18:40:53.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  เคล็ดลับ 13 ข้อ – เพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษ

เคล็ดลับ 13 ข้อ – เพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษ

1.) มีความรักและมีความอยากเรียน-อยากรู้จากภายใน แล้วเดี๋ยวมันจะมีแรงกายแรงใจในการเรียนขึ้นมาเองอย่างไม่น่าเชื่อ

2.) ไม่ควรอ้างว่าเรายุ่งและไม่เวลาฝึกภาษาอังกฤษ ถึงแม้งานจะยุ่งจริงๆ เราก็หาเวลาในระหว่างวันในการฝึกฝนจนได้

3.) ไม่ควรรู้สึกฝืนใจเวลาจะเรียน-ฝึกภาษาอังกฤษ & อย่าคิดว่ามันยากไปล่วงหน้าตั้งแต่เริ่มต้น เพราะหัวสมองเราจะบล็อคเรื่องนี้ไปโดยอัตโนมัติ ทำให้เรียนแล้วจำไม่ได้

4.) อย่าไปคิดว่ามันเยอะ & อย่าไปคิดว่าอยากได้มันมาทั้งหมดในทันที เราได้ความรู้เพิ่มในแต่ละครั้ง ในแต่ละประโยคที่เราได้เรียนรู้

5.) ให้ใช้ความสังเกตและความละเอียดของตัวเองให้มากที่สุด เพื่อสังเกตวิธีการใช้จากเจ้าของภาษา วิธีนี้จะทำให้คุณสำเร็จวัตถุประสงค์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

6.) อ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้มากๆ เน้นบทความง่ายๆ ที่เราสนใจ (อ่านไปบ่อยๆ พร้อมใช้ความช่างสังเกต เดี๋ยวเราจะเก่งได้)

7.) ฝึกฟังมากๆ โดยเน้นฟังเรื่องราวที่สนุกๆ ที่เราสนใจ เน้นฟังจากเจ้าของภาษาหลากหลายสำเนียง เช่น อังกฤษ อเมริกัน แคเนเดียน ออสเตรเลี่ยน นิวซีแลนด์ โดยหาฟังคนที่พูดช้าๆ เราเริ่มช้าๆก่อน พอเก่งแล้ว เดี๋ยวเราจะฟังออกมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงแรกๆ ถ้าฟังไม่ออก ก็อย่าท้อ ต้องหมั่นฟังไปเรื่อยๆ อาจกินเวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี หรืออาจเร็วกว่านั้น หรือช้ากว่านั้น ก็อย่าท้อ

8.) ฝึกคิดภาษาอังกฤษ และฝึกพูดคนเดียวให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะระลึกได้ ถ้าเป็นไปได้ก็ให้คิดทุกประโยคที่เป็นภาษาไทยของเราให้เป็นภาษาอังกฤษ

* แต่ข้อควรระวังก็คือ ทุกครั้งที่เราพูดหรือแปลภาษาอังกฤษ พึงระลึกไว้เสมอว่า มันไม่ใช่การแปลจากภาษาไทยแบบคำต่อคำ แต่จงแปลจากเนื้อหาของเหตุการณ์ (Context)

9.) เน้นฝึกออกเสียงให้ชัดๆ ทั้งตัว R, ควบกล้ำ, ตัวสะกดลงท้าย เช่น st, ge, ch, sh, etc. ถ้าชอบฟังเพลง ก็เลือกฟังเพลงจากนักร้องที่ออกเสียงคำชัดๆ โดยมากนักร้องรุ่นเก่า หรือนักร้องประเภท Vocal พวกนี้เขาจะร้องออกเสียงคำชัดเกือบทุกคน ขอยกชื่อนักร้องที่ทั้งร้องและพูดฟังชัดเจนก็อย่างเช่น Frank Sinatra, Barbra Streisand, Josh Groban, Michael Bublé

10.) ค้นคว้าเอาจากเว็บไซต์ต่างๆ แต่คุณควรมีพื้นฐานที่ถูกต้องอยู่ติดตัวให้พอสมควร เพราะเนื่องจากเนื้อหาตามเว็บไซต์ต่างๆ จะมีทั้งถูกและผิดปนๆกัน ถ้าคุณไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ถูกต้องติดตัวอยู่บ้าง คุณอาจจะขาดความรู้ในการเลือกเชื่อสิ่งที่ถูก และอาจไปเชื่อในสิ่งที่ผิดได้

11.) ต้องมีความอดทนด้วย อย่าท้อง่ายๆ

12.) มีความสนุกที่จะพูดภาษาอังกฤษ อย่ากลัวที่จะพูดกับชาวต่างชาติ ควรจะวิ่งเข้าไปหาเขาแล้วคุยด้วยความรู้สึกสบายๆ และผ่อนคลาย อย่าพยายามเลี่ยงหรือหลบหน้าเขา

13.) เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ในระหว่างวันก็ควรพูดประโยคง่ายๆ ให้ติดปาก และควรหัดเปลี่ยนประโยคไปบ้างสำหรับเหตุการณ์เดิมๆ

 

 

ดูคลิปวิดีโอประกอบเนื้อหาเรื่องนี้ได้ทาง YouTube ลิงค์นี้: http://www.youtube.com/watch?v=_V1KcpFjHrE

 

 

เขียนโดย: อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง จากเว็บไซต์ http://www.ThaiBizSolutions.com/

 

 

guest

Post : 2013-10-05 15:02:03.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Come กับ Go ไม่ได้ใช้ง่ายๆ แบบที่คุณคิดนะครับ

Come "มา" & Go "ไป": ไม่ได้ใช้เหมือนภาษาไทยนะครับ

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ คนไทยใช้ผิดบ่อย เพราะการคิดแบบคนอังกฤษ กับการคิดแบบคนไทยมันไม่เหมือนกัน ทำให้การใช้ภาษาแตกต่างกันไปด้วย


ขอเสนอคำว่า "come" กับ "go" ครับ

เรารู้กันอยู่แล้วว่า
come =
มา
go =
ไป

แต่ภาษาอังกฤษเขามีรายละเอียดมากกว่านั้นครับ

สมมุติว่าตอนนี้คุณอยู่เมืองไทย แล้วผมอยู่อเมริกา (สมมุติว่ารัฐ Florida ละกัน) ... ถ้าหากคุณจะพูดว่า "ฉันจะไปหาคุณที่ฟลอริด้า ในสัปดาห์หน้านะ" ... เวลาเราพูดภาษาไทยเนี่ย เราใช้ "ไป" แต่เวลาเราจะพูดภาษาอังกฤษในเหตุการณ์แบบนี้เราต้องใช้ "come" นะครับ ... สมมุติว่า คุณเขียนอีเมล์มาหาผม ประโยคที่คุณใช้ก็จะเป็นว่า

I'm coming to Florida next week.
จะไม่ใช้ว่า I'm going to Florida next week. นะครับ

เหตุผลก็คือเวลาที่เราคุยกับใครอยู่เนี่ย แล้วทั้งสองคนนั้นอยู่ต่างสถานที่หรือต่างประเทศกันก็ตามไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเดินทางไปหาอีกคนหนึ่งที่เราคุยอยู่ด้วยเนี่ยเราต้องใช้คำว่า "come" ทั้งหมดนะครับ คือ ถ้า ผม (ซึ่งตอนนี้อยู่ Florida) จะเดินทางมาหาคุณที่กรุงเทพฯ ผมก็จะพูดว่า I'm coming to BKK next Wednesday.

และถ้าคุณจะเดินทางไปหาผมที่ฟลอริด้า คุณก็ควรจะพูดว่า I'm coming to Florida. (อะไรแบบนี้เป็นต้น)

แต่ถ้าหากว่า ผมกำลังจะเดินทางจากฟลอริด้ามาเมืองไทยแต่ผมไม่ได้กำลังสนทนาอยู่กับคุณ (ซึ่งคุณอยู่เมืองไทย) แต่ผมกำลังพูดอยู่กับเพื่อนผมที่อยู่ที่ฟลอริด้าเหมือนกัน ผมก็ต้องพูดกับเขาว่า I'm going to BKK next Wednesday.

คือสรุปว่า เราจะใช้ "come" กับเหตุการณ์ที่เราหรืออีกฝ่ายหนึ่งจะเดินทางไปยังสถานที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั่นเอง

เราใช้ "come" ในทั้งสองกรณี หรือทั้งสองทิศทาง ... คือให้คิดถึงฝั่งคนฟังด้วยว่า ทิศทางที่เราจะมุ่งไปนั้น มันมุ่งไปหาเขาหรือเปล่า ถ้ามันมุ่งไปหาเขาหรือมุ่งมาหาเรา เราก็จะใช้ "come" ทั้งหมด

หวังว่าไม่งงนะครับ ... เรื่องนี้ คำอธิบายมันยาวหน่อย เพราะผมชอบเขียนให้คุณเห็นภาพของเหตุการณ์จะได้เข้าใจชัดเจนขึ้น มันอาจจะไม่คุ้นสำหรับคนไทยบางคนเพราะอาจจะเนื่องจากคุ้นเคยกับการคิด-แปลแบบตรงตัวแบบภาษาไทยมากเกินไปถ้าคุณเจอใครที่เขาใช้ยังไม่ถูก เราช่วยๆกัน ช่วยบอกต่อกันนะครับให้คนไทยเราใช้ภาษาได้แบบเจ้าของภาษามากที่สุดครับ

처음 이전 ... 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 다음 끝