Support
www.thaibizsolutions.com
095-979-9890
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2020-03-01 21:15:58.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  มือเย็น ภาษาอังกฤษ

สำนวน “มือเย็น” ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่าอะไร

 

คนไทยเรา เวลาจะชมใครที่เขาปลูกต้นไม้ได้เจริญงอกงามดี เราจะพูดว่า “คุณนี่ มือเย็นดีนะ”

 

ดังนั้นสำนวนไทยที่ว่า “มือเย็น” ก็จะหมายความว่า “ปลูกต้นไม้เก่ง ปลูกต้นอะไรก็ออกดอกออกผลงอกงามดี” ในภาษาอังกฤษแบบคนอังกฤษแท้ๆ กับแบบอเมริกัน จะใช้คนละสำนวนกัน โดยที่คนอังกฤษจะใช้ว่า green fingers (กรีน ฟิ๊งเกอะซ์ = นิ้วมือสีเขียว) แต่คนอเมริกันจะใช้ว่า green thumb (กรีน ธัม = นิ้งโป้งสีเขียว) วิธีนำไปใช้พูดในประโยคเวลาที่เราพูดกับเพื่อนก็คือ: “คุณนี่ มือเย็นดีนะ”

(แบบคนอเมริกัน) You have a green thumb. (ยู แฮฟว์ อะ กรีน ธัม)

(แบบคนอังกฤษ) You have green fingers. (ยู แฮฟว์ กรีน ฟิ๊งเกอะซ์)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง – Home of Naked English

guest

Post : 2020-02-03 23:31:33.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ผักคะน้า ภาษาอังกฤษ จะใช้ว่า collards หรือ collard greens ก็ได้

คำว่า “ผักคะน้า” ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องคือ Collard(s) หรือ Collard greens อ่านว่า คอลเหลิด(ซ) หรือ คอลเหลิด กรีนซ์ {ถ้าคุณขยายภาพที่เราลงไว้ให้ในโพสต์อันนี้ คุณจะเห็นชื่อภาษาอังกฤษว่า Collards อยู่บนแถบพลาสติกที่เขามัดผักคะน้าเอาไว้} ทุกเว็บไซต์บนอินเตอร์เน็ตลงคำว่า “ผักคะน้า” ผิด เขาลงเป็นคำว่า Kale (อ่านว่า “เคล”) กันหมดเลย

 

สรุปว่า คุณจะเรียก “ผักคะน้า” ว่า Collard greens หรือ Collard(s) เฉยๆ ก็ได้ แต่คุณต้องอย่าลืมเติม S ด้วย เนื่องจากคำว่า Collard มันเป็นคำนามนับได้ แล้วเวลาเราใช้พูด เราก็มักจะใช้มันในรูปของพหูพจน์ เพราะเวลาเรารับประทานมัน เราก็จะกินมันมากกว่า 1 ใบ

 

คุณสามารถจะเรียกมันว่า Collard greens ก็ได้เช่นกัน โดยที่คำว่า greens (แบบเติม S) นี้ เขาหมายถึง “ใบสีเขียวของผัก” เช่นถ้าคุณจะนำ “ใบสดสีเขียวของแครอท” มาปรุงอาหาร ใบเขียวๆของแครอทนั้น เขาก็จะเรียกว่า Carrot greens หรือถ้าคุณจะนำใบสีเขียวของหัวบีทรูท (Beetroots) มาผัดกิน ใบสีเขียวของต้น Beet นั้น เขาก็จะเรียกว่า Beet greens

 

“ผักคะน้า” เป็นผักอยู่ในกลุ่ม Acephala (แอส-สะ-ฟ้า-หละ) ซึ่งในกลุ่มนี้ก็จะประกอบไปด้วยผักจำพวกกะหล่ำปลี, บร๊อคโคลี่, ดอกกะหล่ำ และ Kale (เคล) รสชาติของ Kale มีความคล้ายคลึงกับผักคะน้า ดังนั้นคนส่วนหนึ่งจึงเข้าใจผิด คิดว่า “ผักคะน้า” คือ Kale

 

เมื่อปีที่แล้วผมอยู่ที่ประเทศอเมริกา ไปเดินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในเมืองวอชิงตัน ดี.ซี., บัลติมอร์, ฟิลาเดลเฟีย และนิวยอร์ค ดีใจมากที่เขาขายผักคะน้าด้วย แล้วเขาก็ติดป้ายชื่อเอาไว้ว่า Collards ผมก็เลยถือโอกาสซื้อ Collards มาทำผัดซีอิ๊วเลี้ยงเพื่อนฝรั่งซะเลย

 

ถ้าคุณอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมว่า Kale กับ Collard greens ต่างกันอย่างไร ก็สามารถหาดูได้จากเว็บไซต์ที่เรานำมาลงไว้ให้ในบรรทัดถัดไปนะครับ (เป็นบทความภาษาอังกฤษ)
https://www.differencebetween.com/difference-between-kale-…/

 

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

 

guest

Post : 2018-04-21 19:17:37.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  การใช้ How to, How come, How about

การใช้ How to, How come, How about?

  1. How to ….. แปลว่า “วิธีที่จะ .....”

จงอย่าคิดว่า How to …. เป็นโครงสร้างของคำถาม (เพราะมันไม่ใช่เลย)

จงจำไว้ว่า How to … เป็นโครงสร้างประโยคบอกเล่า ซึ่งมีวิธีการใช้ How to สองแบบหลักๆ ดังนี้

 

    1. เอาไว้ใช้ขึ้นเป็นหัวข้อการนำเสนองาน (PowerPoint Presentation) เช่น

หัวข้อ: How to boil eggs (= วิธีการที่จะต้มไข่)

 

    1. เอาไว้ใช้เป็นส่วนที่อยู่ด้านในของประโยค เช่น
  • Could you tell me how to open this door? (คุณช่วยบอกวิธีที่จะเปิดประตูนี้แก่ฉันหน่อยได้ไหม)

 

  • I don’t know how to solve this problem. (ฉันไม่รู้วิธีที่จะแก้โจทย์ข้อนี้)

 

  1. How come? หรือ How come …..? แปลว่า “เป็นไปได้ยังไงที่ว่า .....”

เช่น ก่อนหน้านี้ลูกชายเราบอกว่าจะไปโรงเรียน แต่พอผ่านมาหนึ่งวัน พ่อแม่กลับมารู้ความจริงว่าลูกชายเราไม่ได้ไปโรงเรียน จึงพูดขึ้นว่า: How come he didn’t go to school? (เป็นไปได้ยังไงที่ว่าเขาไม่ได้ไปโรงเรียน) – [ทั้งๆที่เขาบอกว่าเขาจะไปนี่นา]

 

  1. How about ….? เอาไว้ใช้เสนอความคิดเห็น ว่าสิ่งที่พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ บุคคลที่เราพูดด้วยเขาคิดอย่างไร ดังนั้นเช่น How about you? จึงแปลว่า “แล้วคุณล่ะ”

 

เช่น คนแรกพูดว่า “ฉันชอบกินไอศกรีมหลังมื้ออาหารเย็น ... แล้วคุณล่ะ” (I like to eat ice-cream after dinner.  How about you?)

 

ดังนั้น How are you? = (คุณเป็นอย่างไรบ้างครับ – สบายดีไหม)

จึงไม่เท่ากับประโยคทีว่า How about you? มันแปลคนละเรื่องกันเลย

 

ถ้าคุณสนใจรายละเอียดของหัวข้อนี้ สามารถดูได้จากวิดีโอนี้ครับ

 

 

 

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-11-06 02:16:06.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  บทสนทนาภาษาอังกฤษ ฝึกโต้ตอบ คลิป YouTube #N53

 บทสนทนา ถาม-ตอบ สำหรับคลิป N๕๓: [เราถาม-คุณตอบ]

  

 

1.)     Q: What time do you get up? (ตามปกติคุณตื่นนอนกี่โมง)

A: I (normally) get up at 6 o’clock. (ตามปกติฉันตื่นนอนตอนหกโมง)

 

2.)     Q: What time do you go to bed? (ตามปกติคุณเข้านอนตอนกี่โมง)

A: I (normally) go to bed at 10:30 (p.m.). (ตามปกติฉันเข้านอนตอนสี่ทุ่มครึ่ง)

 

3.)     Q: What do you like to eat? (คุณชอบกินอะไร)

A: I like (to eat) spaghetti. (ฉันชอบกินสปาเก็ตตี้)

 

4.)     Q: What did you study in college? (คุณเรียนอะไรตอนปริญญาตรี)

A: I studied science. (ฉันเรียนวิทยาศาสตร์)

 

5.)     Q: Which year did you graduate? (คุณเรียนจบปีอะไร)

A: I graduated in 2005. (ฉันเรียนจบปี 2005)

 

6.)     Q: What did you do after that? (แล้วคุณทำอะไรหลังจากนั้น)

A: I went to graduate school. (ฉันเรียนต่อปริญญาโท)

A: I looked for work and then, I got a job at Microsoft.

(ฉันมองหางาน แล้วก็ได้งานที่ไมโครซอฟท์)

A: I stayed at home, taking care of my nieces. (ฉันอยู่บ้านเลี้ยงหลานสาว)

 

7.)     Q: What kind of job do you like to do? (คุณชอบทำงานอะไร)

A: I like marketing and sales. (ฉันชอบด้านการตลาดและการขาย)

A: I like freelance jobs. (ฉันชอบงานอิสระ)

A: I like hospitality jobs. (ฉันชอบงานบริการ)

A: I like personnel jobs. (ฉันชอบงานฝ่ายบุคคล)

A: I like food & beverage (F&B) jobs. (ฉันชอบงานด้านอาหารและเครื่องดื่ม)

 

8.)     Q: What kind of movie do you like? (คุณชอบดูหนังประเภทไหน)

A: I like comedies. (ฉันชอบหนังตลก)

A: I like romantic comedies. (ฉันชอบหนังรักแบบตลกๆหน่อย)

A: I like action movies. (ฉันชอบหนังบู๊)

A: I like sci-fi (movies). (ฉันชอบหนังแนววิทยาศาสตร์)

A: I like fantasy movies. (ฉันชอบหนังแนวแบบในจินตนาการ)

A: I like thriller movies. (ฉันชอบหนังสยองขวัญ)

A: I like animations. (ฉันชอบการ์ตูน-แอนนิเมชั่น)

 

9.)     Q: How often do you go to the movies? (คุณไปดูหนังบ่อยแค่ไหน)

A: I go to the movies twice a month. (ฉันไปดูหนังเดือนละสองครั้ง)

A: I go to the movies once a month. (ฉันไปดูหนังเดือนละครั้ง)

A: I go to the movies once a week. (ฉันไปดูหนังสัปดาห์ละครั้ง)

A: My last time in the theater was more than a year ago.

(ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปดูหนังนี่ก็เกินหนึ่งปีแล้ว)

 

10.) Q: What kind of music do you like? (คุณชอบดนตรีแนวไหน)

A: I like pop (music). (ฉันชอบเพลงป๊อป)

A: I like easy-listening (music). (ฉันชอบแนวเพลงช้าๆ ฟังง่ายๆ)

A: I like country (music). (ฉันชอบแนวคันทรี่)

A: I like rhythm & blues (R&B). (ฉันชอบแนวอาร์แอนด์บี)

A: I like rock ’n’ roll. หรือ I like rock music. (ฉันชอบแนวร็อค)

 

11.) Q: What do you like to cook? (คุณชอบทำอะไรทาน)

A: I like to cook Thai food. (ฉันชอบทำอาหารไทย)

A: I like to cook Southern food. (ฉันชอบทำอาหารใต้)

A: I like to cook Western food. (ฉันชอบทำอาหารฝรั่ง)

A: I like to cook green curry. (ฉันชอบทำแกงเขียวหวาน)

 

12.) Q: What kind of woman/man do you like? (คุณชอบผู้หญิง/ผู้ชายแบบไหน)

A: I like intelligent women (who understand people’s feelings).

(ฉันชอบผู้หญิงฉลาดๆ (ที่เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น))

A: I like dark-skinned women with long hair. (ฉันชอบผู้หญิงผิวดำผมยาว)

A: I like a kind man who has a good sense of humor.

(ฉันชอบผู้ชายใจดีที่มีอารมณ์ขัน)

A: I like kind men who have a good sense of humor.

(ฉันชอบผู้ชายใจดีที่มีอารมณ์ขัน)

A: I like muscle men. หรือ I like muscular men. (ฉันชอบผู้ชายมีกล้าม)

A: I like intelligent men. (ฉันชอบผู้ชายฉลาดๆ)

 

13.) Q: What is your favorite shopping mall? (ห้างที่คุณชอบมากที่สุดคือห้างอะไร)

A: My favorite shopping mall is Central Westgate. (ห้างที่ฉันชอบที่สุดคือห้างเซ็นทรัลเว็สท์เกต)

A: My favorite shopping mall is The Emquartier. (ห้างที่ฉันชอบที่สุดคือห้างดิเอ็มควอเทียร์)

A: I have 3 favorite shopping malls.  They are The Mall, Siam Paragon and Central. (ฉันมีห้างที่ชอบที่สุดสามห้าง คือเดอะมอลล์ สยามพารากอน และเซ็นทรัล)

A: I have no favorite shopping mall(s). (ฉันไม่มีห้างที่ชอบที่สุดหรอก)

A: I don’t have a favorite shopping mall. (ฉันไม่มีห้างที่ชอบที่สุดหรอก)

 

14.) Q: How did you meet your wife/husband? (คุณเจอกับภรรยา/สามีของคุณได้อย่างไร)

Q: How did you meet your girlfriend/boyfriend? (คุณเจอแฟนของคุณได้อย่างไร)

A: We met at a party. (เราพบกันที่งานเลี้ยง)

A: We met at a friend’s house. (เราพบกันที่บ้านเพื่อน)

A: We met on the internet. (เราพบกันทางอินเตอร์เน็ท)

A: We met on Facebook. (เราพบกันทางเฟสบุ๊ค)

A: We met through a website. (เราพบกันทางเว็บไซต์อันหนึ่ง)

 

15.) Q: Where were you born? (คุณเกิดที่ไหน)

A: I was born in Bangkok. (ฉันเกิดที่กรุงเทพฯ)

 

16.) Q: At which hospital were you born? (คุณเกิดที่โรงพยาบาลอะไร)

A:  I was born at Vajira Hospital. (ฉันเกิดที่โรงพยาบาลวชิระ)

 

17.) Q: How many brothers and sisters do you have? (คุณมีพี่น้องกี่คน)

A: I have one brother and one sister. (ฉันมีพี่ชาย/น้องชายหนึ่งคน และพี่สาว/น้องสาวหนึ่งคน)

A: I don’t have any (brothers or sisters). (ฉันไม่มีพี่น้องเลย)

 

18.) Q: Are you married? (คุณแต่งงานหรือยัง)

A: Yes, I am. (ฉันแต่งงานแล้ว)

A: No, I’m not. (ยังเลย)

A: I am separated. (ฉันแยกกันอยู่กับสามี/ภรรยา)

A: I am divorced. (ฉันมีสถานะหย่าร้าง)

 

19.) Q: Are you seeing someone? (ตอนนี้คุณกำลังคบหาดูใจกับใครอยู่หรือเปล่า)

A: Yes, I am. / I’m seeing someone. (ใช่ ตอนนี้ฉันกำลังคบหาอยู่กับคนหนึ่ง)

A: No, I’m not seeing anyone. (เปล่า ฉันไม่ได้กำลังคบหาดูใจกับใคร)

 

20.) Q: What is your favorite restaurant? (ร้านอาหารที่คุณชอบที่สุดคือร้านอะไร)

A: My favorite restaurant is Maria on Ratchapruke Road.

(ร้านที่ฉันชอบที่สุดคือร้านมาเรีย บนถนนราชพฤกษ์)

 

21.) Q: What is your favorite seafood restaurant?

(ร้านอาหารทะเลที่คุณชอบมากที่สุดคือร้านอะไร)

A: My favorite seafood restaurant is Chomjan, on Koh Yor, in Songkhla.

(ร้านอาหารทะเลที่ฉันชอบมากที่สุดคือร้าน “ชมจันทร์” อยู่บนเกาะยอ จังหวัดสงขลา)

 

22.) Q: Where in Thailand do you like to spend your vacation?

(คุณชอบไปเที่ยวพักผ่อนที่จังหวัดไหนในประเทศไทย)

A: I like to spend my vacation in Naan. (ฉันชอบไปใช้เวลาวันหยุดพักร้อนที่ จ.น่าน)

 

23.) Q: Who is your dearest/closest/best friend? (เพื่อนรัก/เพื่อนสนิทที่สุดของคุณคือใคร)

A: My best friend is Rochelle. (เพื่อนที่ฉันรักมากที่สุดคือโรเชล)

 

24.) Q: What do you like to do on the weekend? (วันหยุดสุดสัปดาห์คุณชอบทำอะไร)

A: I like to stay at home and do gardening work. (ฉันชอบอยู่บ้านแล้วก็ทำสวน)

A: I like to go upcountry. / I like to go to the countryside.

(ฉันชอบไปเที่ยวต่างจังหวัด)

A: I like to go to the beach. (ฉันชอบไปทะเล)

A: I like to go to the movies. (ฉันชอบไปดูหนัง)

A: I like to go to shopping malls. (ฉันชอบไปเดินห้างฯ)

A: I like to visit/see my relatives in Sa-kaew. (ฉันชอบไปเยี่ยมญาติที่ จ.สระแก้ว)

A: I like to take naps at home. (ฉันชอบนอนงีบอยู่ที่บ้าน)

 

25.) Q: Why are you afraid to speak English? (ทำไมคุณถึงกลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษ)

A: (Because) It’s (too) difficult for me. (เพราะว่ามันยากเกินไปสำหรับฉัน)

A: I would be embarrassed to make mistakes. (ฉันจะรู้สึกอับอายขายหน้าเวลาพูดผิด)

A: No, I’m not afraid. (เปล่า ฉันไม่ได้กลัวนะ)

 

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-09-09 00:13:23.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  บทสนทนาภาษาอังกฤษ ในการส่ง Line

 บทสนทนาของคลิปวิดีโอทาง YouTube เรื่องการฝึกส่งข้อความทางไลน์คุยกับเพื่อนเป็นภาษาอังกฤษ

 

A: Good morning! (สวัสดี)

A: Hello! (สวัสดี)  /  Hi, Lauren! (สวัสดีลอเร็น)

 

B: What's up? (มีอะไรเหรอ) / How are you? (คุณเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า)

A: I'm fine. (ฉันสบายดี)

A: What's your plan for today? (วันนี้คุณมีแผนทำอะไรบ้าง)

B: I have a lot work to do. (วันนี้ฉันมีงานต้องทำเยอะแยะเลย)

B: How about you? (แล้วคุณล่ะ)

A: Nothing much! (ไม่ค่อยมีอะไรมากหรอก)

A: I have a thousand and one things to do. (ฉันมีงานต้องทำร้อยแปดพันเก้า)

 

A: Have you had breakfast? (คุณทานอาหารเช้าหรือยัง)

B: (No,) I haven't. (ยังเลย)

B: Have you? (คุณทานหรือยัง)

A: I had rice with stir-fried vegetables. (ฉันทานข้าวกับผัดผัก)

A: What time do you have to be at work? (คุณต้องไปถึงที่ทำงานกี่โมง)

B: I have to be at work by 8:30. (ฉันต้องไปถึงที่ทำงานภายใน 8:30 น.)

B: I have to attend 2 meetings today. (วันนี้ฉันต้องเข้าประชุมสองอัน)

B: Then, I have to meet a client at their office. (แล้วฉันก็ต้องไปพบลูกค้าที่ออฟฟิศของเขา)

 

A: I'm sorry, Lauren! (ฉันขอโทษทีนะลอเร็น)

A: Can I have another chat with you some other time? (ฉันขอคุยกับคุณโอกาสหน้าได้ไหม)

A: I'm getting dressed right now. (ตอนนี้ฉันกำลังแต่งตัวอยู่)

B: That's fine. (ไม่เป็นไร) / No worries! (ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงหรอก)

B: Have a good day! / Have a nice day! (ขอให้คุณมีวันที่ดีนะ)

A: Thank you. (ขอบคุณ)

A: You, too! (คุณก็เช่นกันนะ)

B: Sorry, I'm not available to chat right now. (ขอโทษทีนะ ตอนนี้ฉันยังไม่สะดวกคุย)

B: I'm driving. (ฉันกำลังขับรถอยู่)

B: I'm on the bus. (ฉันอยู่บนรถเมล์)

B: It's packed. (คนแน่นไปหมด)

 

B: I've arrived at the office. (ตอนนี้ฉันถึงที่ทำงานแล้ว)

B: Have you arrived at your office? (คุณถึงที่ทำงานหรือยัง)

A: Yes, I'm about to go into a meeting. (ถึงแล้ว ฉันกำลังจะเข้าประชุมเดี๋ยวนี้แล้ว)

A: Chat with you again later. / Talk to you again later. (แล้วคุยกันใหม่ตอนหลังนะ)

B: All right! (ตกลง)

B: Enjoy your meeting. (ขอให้สนุกกับการประชุมนะ)

 

A: The meeting is boring. (การประชุมนี้มันน่าเบื่อจัง)

A: I'm really bored with this meeting. (ฉันเบื่อการประชุมนี้จริงๆเลย)

B: My daughter is making a mess. (ลูกสาวฉันกำลังทำเลอะเทอะไปหมดเลย)

A: OK, chat with you again later. (ตกลง งั้นไว้คุยกันใหม่วันหลังนะ)

 

A: Did you see Natalie's post on Facebook? (คุณเห็นโพสต์ของนาตาลีทางเฟสบุ๊คหรือเปล่า)

B: What's happening? (เกิดอะไรขึ้นเหรอ)

A: She's having problems with her new boyfriend. (หล่อนกำลังมีปัญหากับแฟนคนใหม่ของหล่อน)

B: That's terrible! / Poor thing! (แย่จังเลย)

 

A: What time do you finish work today? / What time do you get off work today? (วันนี้คุณเสร็จงานกี่โมง)

B: I finish work at 7:30. / I get off work at 7:30 today. (วันนี้ฉันเสร็จงานตอนทุ่มครึ่ง)

B: My last meeting will go on until that time. (การประชุมอันสุดท้ายของฉันมันจะลากยาวไปถึงเวลานั้นเลย)

A: Lauren, I'm in the middle of making a report for my boss. (ลอเร็น ฉันกำลังอยู่ระหว่างการทำรายงานให้เจ้านาย)

A: Can we chat again later? (เราคุยกันใหม่วันหลังได้ไหม)

B: Sure, chat with you again later. (ได้สิ แล้วคุยกันใหม่วันหลังก็แล้วกัน)

B: Bye! (ไปก่อนนะ)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-08-27 21:22:52.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ประโยคสำเร็จรูปภาษาอังกฤษ Chat (แชท) กับชาวต่างชาติ

 ซับไตเติ้ลประโยคภาษาอังกฤษสำหรับคลิปทาง YouTube #N44

เรื่อง 30 ประโยคสำเร็จรูป (คำถาม+คำตอบ) ในการ chat กับชาวต่างชาติ

 

A: How are you doing? (คุณสบายดีหรือเปล่า)

B: I'm doing very well. / I'm doing fine. (ฉันสบายดี)

 

A: Where are you from? (คุณเป็นคนประเทศอะไร)

B: I'm from Northeastern Thailand. (ฉันมาจากภาคอีสานของประเทศไทย)

I'm from Udon Thani. ฉันมาจากจังหวัดอุดรธานี

 

ภาคเหนือ = Northern Thailand

ภาคกลาง = Central Thailand

ภาคใต้ = Southern Thailand

 

A: Where do you live? (คุณอาศัยอยู่ที่ไหน)

B: I live in Maha Sarakham. (ฉันอยู่ที่ จ.มหาสารคาม)

I live in Sukhothai. (ฉันอยู่ที่ จ.สุโขทัย)

A: How long have you lived there? (คุณอยู่ที่นั่นมานานแค่ไหนแล้ว)

B: I've lived here seven years. (ฉันอยู่ที่นี่มาเจ็ดปีแล้ว)

A: Have you (ever) been to Thailand? (คุณเคยมาเมืองไทยไหม)

B: No, I haven't. / No, I've never been to Thailand. (ฉันไม่เคยมาเมืองไทยเลย)

I have been to Thailand twice. (ฉันเคยไปเมืองไทยสองครั้งแล้ว)

A: Do you like Thai food? (คุณชอบอาหารไทยไหม)

B: Yes, I do. / Yes, I like Thai food. (ชอบสิ ฉันชอบอาหารไทย)

I'm not a big fan of Thai food because Thai food is too spicy for me. (ฉันไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของอาหารไทยหรอก เพราะว่ามันเผ็ดเกินไปสำหรับฉัน)

A: What is your food like? (อาหารของประเทศคุณเป็นอย่างไรบ้าง)

A: What is your favorite Thai dish? (อาหารไทยที่คุณชอบกินที่สุดคืออะไร)

B: I like pad thai. (ฉันชอบผัดไทย)

My favorite Thai dish is pad thai. (อาหารไทยจานโปรดของฉันคือผัดไทย)

A: Do you cook for yourself? (คุณทำอาหารกินเองหรือเปล่า)

B: Yes, I do. / Yes, I cook for myself. (ใช่ ฉันทำกินเอง)

No, I don't. (เปล่า ฉันไม่ได้ทำกินเอง)

I normally buy food from a supermarket. (ตามปกติ ฉันมักจะซื้ออาหารจากซุปเปอร์มาร์เก็ตมารับประทาน)

A: How old are you? / What is your age? (คุณอายุเท่าไหร่)

B: I'm 32. / I am 32 years old. / I am 32 years of age. (ฉันอายุ 32 ปี)

A: Who do you live with? (ในบ้านคุณมีใครอยู่กันบ้าง

How many people are there in your family? (ในครอบครัวคุณมีกันกี่คน)

B: I live alone. (ฉันอยู่คนเดียว) / I live with my pet dog(s). (ฉันอยู่กับสุนัขที่ฉันเลี้ยงไว้)

A: Are you married? (คุณแต่งงานหรือยัง)

B: Yes, I am. / I am married. (ฉันแต่งงานแล้ว)

I'm married with two children. (ฉันแต่งงานแล้ว มีลูกสองคน)

(ผมโสด) I am single.

(ผมหย่าแล้ว) I am divorced.

A: How many children do you have? (คุณมีลูกกี่คน)

B: I have no children. (ฉันไม่มีลูก) / I have one child. (ฉันมีลูกหนึ่งคน)

I have two children. (ฉันมีลูกสองคน)

A: How old are your children? (พวกลูกๆของคุณอายุเท่าไหร่กันบ้าง)

B: They are 25 and 27 years old. (พวกเขาอายุ 25 กับ 27 ปี)

A: How many times have you been married? (คุณแต่งงานมากี่ครั้งแล้ว)

B: I have been married two times. / I have been married twice. (ฉันแต่งงานมาสองครั้งแล้ว)

I have been married (only) once. (ฉันแต่งงานมาครั้งเดียว)

I have been married four times. (ฉันแต่งงานมาแล้วสี่ครั้ง)

 

A: Do you have pets at home? (คุณมีสัตว์เลี้ยงที่บ้านหรือเปล่า)

B: Yes, I do. (มีสิ) / No, I don't. (ไม่มีหรอก)

I have two dogs and three cats. (ฉันมีสุนัขสองตัว แล้วก็แมวสามตัว)

I have one dog and one cat. (ฉันมีสุนัขกับแมวอย่างละหนึ่งตัว)

 

A: What kind of woman are you looking for? (คุณกำลังมองหาผู้หญิงแบบไหน)

What kind of woman are you looking for in particular? (คุณกำลังมองหาผู้หญิงแบบไหนเป็นพิเศษ)

B: I'm looking for a kind working girl. (ฉันเป็นผู้หญิงขยันขันแข็งในการทำงาน แล้วก็ใจดีด้วย)

I am a working girl. / I am a working woman. (ฉันเป็นผู้หญิงทำงาน)

I am a good cook. (ฉันเป็นคนที่ทำกับข้าวเก่ง)

 

A: What is your local time? (เวลาท้องถิ่นของคุณคือเวลากี่โมง)

B: My time is 12:10 p.m. / My time is 10 minutes past twelve. / My time is twelve, ten. (เวลาของฉันคือเที่ย่งสิบนาที)

My local time is 6:10. / My local time is six, ten. (เวลาท้องถิ่นของฉันคือหกโมงสิบนาที)

Thailand is 6 hours ahead of your country. (ประเทศไทยเร็วกว่าประเทศคุณ 6 ชั่วโมง)

Your country is 6 hours behind Thailand. (ประเทศของคุณช้ากว่าเมืองไทย 6 ชั่วโมง)

I am 6 hours ahead of you. (ฉันเร็วกว่าคุณ 6 ชั่วโมง)

You are 6 hours behind me. (คุณช้ากว่าฉัน 6 ชั่วโมง)

What is our time-zone difference? (ประเทศของเราสองคน เวลาต่างกันกี่ชั่วโมง)

 

A: What time do you go to bed? (ตามปกติ คุณเข้านอนตอนกี่โมง)

B: I go to bed at 10 (p.m.). / I go to bed at 10 o'clock. (ตามปกติ ฉันเข้านอนตอนสี่ทุ่ม)

A: What time do you get up? (ตามปกติ คุณตื่นนอนกี่โมง)

B: I get up at 5 (o'clock). / I get up at 5 a.m. (ตามปกติ ฉันตื่นนอนตอนตีห้า)

A: What time do you eat breakfast? (ตามปกติ คุณกินอาหารเช้าตอนกี่โมง)

What time do you eat lunch? (ตามปกติ คุณกินอาหารเที่ยงตอนกี่โมง)

What time do you eat dinner? (ตามปกติ คุณกินอาหารเย็นตอนกี่โมง)

B: I (normally) eat breakfast at 7:30. (ตามปกติ ฉันกินอาหารเช้าตอนเจ็ดโมงครึ่ง)

A: Have you had breakfast? (คุณทานอาหารเช้าหรือยัง)

Have you had lunch? (คุณทานอาหารเที่ยงหรือยัง)

Have you had dinner? (คุณทานอาหารเย็นหรือยัง)

B: Yes, I have. (ทานแล้ว) / No, I haven't. (ยังไม่ได้ทานเลย)

 

A: Am I interrupting your breakfast? (ฉันขัดจังหวะเวลาทานอาหารเช้าของคุณหรือเปล่า)

B: No, you're not. (เปล่า) / No, not at all! (เปล่าเลย)

 

A: What do you like to do in your free time? (คุณชอบทำอะไรในยามว่าง)

B: I like to play computer games. (ฉันชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์)

I like to do gardening (work). (ฉันชอบทำสวน)

A: Do you like sports? (คุณชอบกีฬาประเภทต่างๆมั้ย)

Do you like sport? (คุณชอบเล่นกีฬามั้ย)

B: Yes, I do. (ชอบสิ) /  No, I don't. (ไม่ชอบหรอก)

(ฉันชอบฟุตบอล) I like football. (แบบอังกฤษ) / I like soccer. (แบบอเมริกัน)

A: To play or to watch? / As a player or as a spectator? (คุณหมายถึงว่าชอบเล่นหรือชอบดูล่ะ)

   

A: Do you like to watch TV? (คุณชอบดูทีวีไหม)

B: Yes, I do. (ชอบสิ) / No, I don't. (ไม่ชอบหรอก)

A: What is your favorite TV program? (คุณชอบดูรายทีวีอะไรมากที่สุด)

B: I like America's Got Talent. / My favorite TV program is America's Got Talent. (ฉันชอบรายการ “America’s Got Talent”)

 

A: How did you locate me on Facebook? (คุณเจอฉันทาง Facebook ได้อย่างไร)

B: I found your profile on my friend's page. (ฉันเห็นโปรไฟล์ของคุณบนเพจเพื่อนของฉัน)

A: Do you have a girlfriend/boyfriend? (คุณมีแฟนหรือยัง)

B: Yes, I do. (มีแล้ว) / No, I don't. (ยังไม่มี)

 

A: In your town, how cold is it in the winter? (ในเมืองที่คุณอยู่ ตอนฤดูหนาว มันหนาวแค่ไหน)

In your town, does it snow in the winter? (ในเมืองที่คุณอยู่ ตอนฤดูหนาว หิมะตกไหม)

B: It could go down to 10 degrees Fahrenheit. (อุณหภูมิมันอาจจะลงไปต่ำถึง 10 องศาฟาห์เรนไฮต์) (= ติดลบ 12 องศาเซลเซียส)

It snows in the winter. (ตอนหน้าหนาว มีหิมะตกด้วย)

It doesn't snow in the winter. (ตอนหน้าหนาว ไม่มีหิมะตก)

 

A: How is your health? (สุขภาพของคุณเป็นอย่างไรบ้าง)

B: I'm in (very) good health. (สุขภาพฉันดีมาก)

I'm in (very) bad health. (สุขภาพฉันแย่มาก)

I'm in fine health. (สุขภาพฉันโอเค)

A: How often do you see the doctor? (คุณไปหาหมอบ่อยแค่ไหน)

B: I see the doctor twice a week. (ฉันไปหาหมอสัปดาห์ละสองครั้ง)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-07-31 20:31:24.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  สุภาษิต-คำพังเพย ภาษาอังกฤษ

 วันนี้เราขอเสนอสุภาษิต-คำพังเพย ที่ในภาษาอังกฤษกับภาษาไทย เขาว่าเอาไว้ในลักษณะทำนองเดียวกัน และใช้ในความหมายเดียวกัน และเรามีตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษมาให้ฝึกพูดกันด้วยครับ

 

1.)         Haste makes waste. = ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

2.)         Strike while the iron’s hot. = น้ำขึ้นให้รีบตัก

3.)         Don’t bring coal to Newcastle. = อย่าเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน

4.)         What goes around comes around. = ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว

5.)         Jack of all trades and master of none = เก่งเหมือนเป็ด (ทำได้หลายอย่าง แต่ทำได้ไม่ดีสักอย่าง)

ตัวอย่างประโยค

1.)         You don’t need to rush – haste makes waste! (คุณไม่ต้องรีบก็ได้ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม)

2.)         Don’t delay – strike while the iron’s hot! (อย่าชักช้าสิ – น้ำขึ้นให้รีบตัก)

3.)         Are you giving cookies to Serena as a birthday gift? Don’t you know that she has a bake shop? It’s like bringing coal to Newcastle. (เธอกำลังจะให้คุกกี้เซรีน่าเป็นของขวัญวันเกิดเหรอ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหล่อนเปิดร้านขายขนมเค้ก แบบนี้มันเหมือนเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนนะ)

4.)         Did you set that up just to make me miss my flight? I didn’t miss my flight then, but now you are missing yours. Do you know what goes around comes around? (นี่เธอจัดฉากขึ้นมาเพื่อให้ฉันไปขึ้นเครื่องบินไม่ทันเหรอเนี่ย แต่ฉันก็ไม่ได้ตกเครื่องหรอกนะในตอนนั้น แต่ตอนนี้สิ เธอกำลังจะตกเครื่องแล้ว เธอรู้ไหมว่าแบบนี้เขาเรียก ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว)

5.)         I’m such a terrible person – I’m Jack-of-all-trades and Master-of-none. (ฉันนี่มันเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลย ฉันมันเก่งเหมือนเป็ดอ่ะ)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-07-21 08:26:55.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  วลีภาษาอังกฤษ “Time”

 มีวลี (Phrase) ที่เกี่ยวกับเวลา (Time) ที่เราเจอบ่อยๆ ในชีวิตประจำวันดังนี้

Most of the time = ส่วนมาก

For the time being = ในระหว่างนี้

At the time = ในตอนนั้น (ในอดีต)

At the same time = ในขณะเดียวกัน

In time = ทันเวลา

On time = ตรงเวลา

Ahead of time = ก่อนเวลา (นัดหมาย)

All the time = ตลอดเวลา

 

ยกตัวอย่างประโยคเช่น

     1.)  He plays with his toys most of the time. (ส่วนใหญ่ เขาก็เล่นของเล่น)

     2.)  For the time being, you could keep checking how he reacts to bad weather. (ในระหว่างนี้ คุณก็สามารถเช็คดูว่าเขามีปฏิกิริยากับอากาศแย่ๆ อย่างไรบ้าง)

     3.)  She was famous at the time. (ตอนนั้น หล่อนยังโด่งดังอยู่)

     4.)  He cooked and did the laundry at the same time. (เขาทำกับข้าวและซักผ้าในเวลาเดียวกัน)

     5.)  Don’t worry – you will be there in time. (ไม่ต้องกังวลไป คุณจะไปถึงที่นั่นทันเวลา)

     6.)  The meeting started on time. (การประชุมเริ่มต้นตรงเวลา)

     7.)  You should get to the airport at least 2 hours ahead of time. (คุณควรจะไปถึงสนามบินอย่างน้อยสองชั่วโมงก่อนเวลา [เครื่องออก])

     8.)  He watched TV all the time. So, we didn’t get to talk about it. (เขาดูทีวีตลอดเลย เราก็เลยไม่ได้คุยกันเรื่องนั้น)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-07-06 11:09:17.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำศัพท์ พุทธศาสนา ภาษาอังกฤษ

วันนี้ขอเสนอศัพท์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาครับ

มีคนไทยจำนวนมาก สะกดคำว่า "ธรรมะ" ในภาษาอังกฤษผิด ที่ถูกต้องสะกดว่า Dharma (อ่านว่า ดาร์-หมะ) นะครับ ไม่ใช่ Dhamma (สะกดด้วย "m สองตัว" แบบนี้ผิดครับ)

พระพุทธเจ้า = Buddha

ศาสนาพุทธ = Buddhism

พุทธศาสนิกชน = Buddhist

ศีล = precept

ศีลห้า = the five precepts

ทำสมาธิ = (to) meditate

สมาธิ = concentrated mind

ปัญญา = discernment, wisdom

นิมิต = vision

พระไตรปิฎก = Buddhist scriptures

สติ = mindfulness

ธรรมะ = Dharma

วันพระ = Buddhist Holy Day

ไปทำบุญ = (to) go to the temple

 

Ex.

1.) ฉันตั้งใจจะรักษาศีลห้าตลอดช่วงเข้าพรรษา (I will be observing the Five Precepts all through the Buddhist Lent period.)

2.) ฉันทำสมาธิทุกคืนก่อนเข้านอน (I do meditation every night before bed.)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-06-01 10:36:45.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  นามนับได้ v/s นามนับไม่ได้

ในหลักการใช้ภาษาอังกฤษ คำนามนับไม่ได้ (uncountable nouns) ฝรั่งเขาจะไม่เติม a/an ไว้ข้างหน้ามัน และจะไม่เติม ‘s’ เข้าไปที่ท้ายคำเด็ดขาด

ตัวอย่างที่ผิด เช่น an information หรือ a good news หรือ equipments หรือ moneys

 

ผิด: I have a lot of moneys.

ถูก: I have a lot of money. (ฉันมีเงินเยอะ)

 

ผิด: Normally, lab workers wear protective clothings.

ถูก: Normally, lab workers wear protective clothing. (ตามปกติ คนที่ทำงานให้ห้องทดลองเขามักจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุ)

 

ผิด: To go fishing, you need some equipments.

ถูก: To go fishing, you need some equipment. (ถ้าจะไปตกปลาอ่ะ คุณจำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสียหน่อยนะ)

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-03-23 19:53:38.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Adjectives ที่แปลว่า โกรธ

 มาดู Adjectives ที่แปลว่า “โกรธ” กันครับ เช่น

 

1.)        โกรธ (โดยทั่วๆไป) เราใช้ angry กับ mad

2.)        ขุ่นเคือง = agitated

3.)        หงุดหงิด = frustrated

4.)        โมโห = exasperated

5.)        เสียความรู้สึก / รู้สึกไม่ดี = upset

6.)        โกรธเคือง = irritated

7.)        โกรธจนเดือด = outraged

8.)        โกรธมาก = furious

 

ยกตัวอย่างประโยค เช่น

* My parents were furious at me.

(พ่อแม่ของฉันเขาโกรธฉันจนเป็นฟืนเป็นไฟเลย)

* Why are you so mad at me?  I didn’t do anything.

(ทำไปคุณถึงโกรธฉันมากขนาดนั้นล่ะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย)

* My mother was becoming increasingly agitated as we waited.

(แม่ของฉันเริ่มที่จะเกิดอาการขุ่นเคืองมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พวกเรารอคอย [เขา])

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-03-05 11:40:52.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า "ด้วยเหมือนกัน" ใช้ also, too และ as well - แตกต่างกันอย่างไร

 คำที่เรานำมาให้ดูในวันนี้ แปลว่า "ด้วยเหมือนกัน" เป็น Adverb (คำวิเศษณ์) ทั้งสามคำ ใช้ในความหมายเดียวกัน แต่มีตำแหน่งการวางในประโยคที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้


1.) The school also has a new playground. (โรงเรียนนี้เขาก็มีสนามเด็กเล่นอันใหม่ด้วยเหมือน)

2.) My sister also plays the piano. (พี่สาวของฉันเขาก็เล่นเปียโนด้วยเหมือนกัน)

3.) Khon Kaen is also a very nice city. (ขอนแก่นก็เป็นเมืองที่สวยงามด้วยเหมือนกัน)

4.) My sister plays the piano, too. (พี่สาวของฉันเขาก็เล่นเปียโนด้วยเหมือนกัน)

5.) Roger Federer likes soccer as well. (โรเจอร์ เฟ็ดเดอเร่อเขาก็ชอบเล่นฟุตบอลด้วยเหมือนกัน)

 

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

 

guest

Post : 2017-02-26 22:24:42.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า Play (เล่น) - คนไทย ใช้ผิดกันเยอะมาก

 คนไทยใช้คำว่า ‘play’ (เล่น) ผิดกันเยอะเลยครับ

คำว่า play มันมีความหมายว่า “เล่น” ก็จริง แต่ต้องเป็นการไปเล่นที่สิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าจะพูดตามหลักของ grammar ก็คือ ในประโยคทำนองที่ว่า “ฉันกำลังเล่น ...(เช่น ฟุตบอล)..” นั้น คำว่า play มันทำหน้าที่เป็น transitive verb (กริยาที่มีกรรมมารับ) ดังนั้น การใช้ที่ถูกต้อง ก็อย่างเช่น

1.) ฉันกำลังเล่นฟุตบอล = I’m playing football.

2.) ฉันกำลังเล่นเปียโน = I’m playing the piano.

3.) ฉันกำลังเล่นไพ่ = I’m playing cards.

4.) ฉันกำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์ = I’m playing computer games.

5.) ฉันกำลังเล่น iPad = I’m playing on my iPad.

6.) ฉันกำลังเล่นมือถือ = I’m playing on my cell-phone.

7.) ฉันกำลังเล่นคอม(พิวเตอร์) = I’m playing on my computer.

8.) ฉันกำลังเล่นของเล่น = I’m playing with my toys.

9.) ฉันกำลังเล่นเฟซบุ๊ค = I’m using Facebook.

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-02-05 20:21:44.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  ประเทศที่มี "the" นำหน้า

 เวลาคุณจะเดินทางไปต่างประเทศ ถ้ารู้เพิ่มเติมไว้หน่อยก็ดีครับว่า ชื่อของบางประเทศนั้น เขามีตัว ‘s’ อยู่ตรงท้ายชื่อ (แล้วเวลาพูด ก็ออกเสียง ‘s’ ให้ถูกต้องด้วย) และชื่อบางประเทศเขาต้องมี “the” นำหน้าชื่อด้วย เช่น

 

สหรัฐอเมริกา             = the U.S.A.

สหราชอาณาจักร       = the U.K.

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  = the U.A.E.

ฟิลิปปินส์                   = the Philippines

เนเธอร์แลนด์              = the Netherlands

มัลดีฟส์                     = the Maldives

 

เช่นเวลาที่คุณจะเดินทางไปประเทศมัลดีฟส์ คุณก็สามารถพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า I’m going to the Maldives. (แปลว่า “ฉันกำลังจะเดินทางไปประเทศมัลดีฟส์) – อย่าลืมสังเกตให้ดีนะครับว่ามันมี “the” นำหน้าชื่อประเทศ และชื่อประเทศเขามีตัว ‘s’ ลงท้าย (ดังนั้น เวลาพูดก็ต้องออกเสียง ‘s’ ให้ถูกต้องด้วย)

 

นอกจากนี้ ประเทศอื่นๆ ที่ต้องมี “the” นำหน้า (ซึ่งอาจจะไม่ใช่ประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคย) ก็อย่างเช่น

the Solomon Islands, the Marshall Islands, the Seychelles, the Comoros, The Bahamas, The Gambia และ Saint Vincent and the Grenadines (ประเทศสุดท้ายนี่ชื่อยาวหน่อยนะครับ) ถ้าต้องการรู้ว่าประเทศเหล่านี้อยู่ที่ไหนกันบ้าง ก็เปิดหาใน Google นะครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-01-29 19:29:41.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำแปลบทสนทนาคลิป YouTube เบอร์ N31 - สอนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

 คำแปลของบทสนทนาในคลิปเรียนภาษาอังกฤษทาง YouTube

ตอนที่ N31: การฝึกแก้ประโยคภาษาอังกฤษที่คนไทยมักพูดผิดให้ถูก Grammar

 

  

P: Jim, are you ready to continue? (จิม, คุณพร้อมหรือยังที่จะมาคุยกันต่อ)

J: I am. (ผมพร้อมแล้ว)

P: I'm going to throw questions at you.  This time, eleven questions because 11 is my lucky number. (ผมกำลังจะยิงคำถามรัวใส่คุณแล้วนะ ครั้งนี้มีสิบเอ็ดคำถามเพราะว่าเลขสิบเอ็ดเป็นเลขนำโชคของผม)

J: Very good! (ดีมากเลย)

P: Before we get to the questions, can I ask you how tall you are? (ก่อนที่เราจะเข้าสู่คำถาม ผมขอถามคุณว่าคุณสูงเท่าไหร่จะได้หรือเปล่าครับ)

J: I am 6-foot, 4 (หรือ I'm 6 feet, 4 inches tall. / I'm 6-4.), which in centimeters may be ......... (ผมสูง 6 ฟุต – 4 นิ้ว ซึ่งถ้าแปลงเป็นเซนติเมตรก็น่าจะเป็น ....)

P: Two meters. (สองเมตร)

J: Yeah, about 2 meters, I guess. (ใช่ครับ ประมาณสองเมตร ผมก็เดาว่าประมาณนั้น)

P: Jim is about 2 meters tall.  Would you stand up?  And then, your head would touch the ceiling? (จิมสูงประมาณสองเมตร คุณจะลองยืนดูหน่อยไหม และดูว่าศีรษะคุณจะชนเพดานหรือเปล่า)

J: Not quite.  But, I can reach up and touch it easily. (ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ผมสามารถยืดมือไปแตะมันได้ไม่ยากเลย)

P: I know.  Let's get to our questions. (ผมรู้ เรามาเข้าสู่คำถามกันเถอะ)

P: Again, I have to tell you.  I have to tell the viewers that Jim has never seen my questions. (อีกครั้งหนึ่งนะครับ ผมต้องบอกคุณ ... ผมต้องบอกคุณผู้ชมว่าจิมไม่เคยเห็นคำถามของผมเลย)

P: The first one: "You drive very good." (ข้อแรก: คุณขับรถดีมาก) (เขียนผิด Grammar)

J: The more correct version of that would be: "You drive (very) well." (แบบที่จะถูกมากกว่าคือ ใช้คำว่า well แทนคำว่า good ซึ่งก็จะได้คำแปลเหมือนกันคือ “คุณขับรถได้ดีมากเลย”)

J: However, if you were driving me and you crashed the car, I would have to say, "You don't drive very well." (แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเกิดขับรถไปชนอะไรเข้า ผมก็จะต้องพูดว่า “คุณขับรถได้ไม่ดีมากๆเลย”)

P: (แซว) driving me crazy (เป็นสำนวน) = ทำให้หงุดหงิดและโมโห, ยั่วยวนให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

J: I'd say, "You are one bad driver." (ผมก็จะพูดว่า “คุณคือคนขับรถที่ขับได้แย่มาก”)

P: You can say so many things. (คุณสามารถพูดได้หลายอย่างเลย)

J: Yes! (ใช่)

P: The second one: "I would like to discuss about hurricanes and their severity." (ข้อสอง: ผมอยากจะถกประเด็นเรื่องพายุเฮอริเคนและความรุนแรงของมัน) (ประโยคนี้ผิด Grammar)

P: Let me translate it to my viewers.  Let me read my sentence again. (ขอผมแปลให้ผู้ชมฟังก่อนนะ ขอผมอ่านประโยคนี้อีกครั้งหนึ่งนะ)

J: I would omit "about".  I would say, "I would like to discuss hurricanes and their severity." (ผมจะตัดคำว่า about ทิ้งไปนะ ผมจะพูดแบบที่ถูกต้องว่า I would like to discuss hurricanes and their severity.)

P: I agree with you whole-heartedly. (ผมเห็นด้วยกับคุณแบบหมดใจเลย)

P: The third one: "Can you explain about your house rules again?" (ข้อสาม: คุณช่วยอธิบายกฎระเบียบการใช้ที่พักของคุณอีกครั้งได้ไหม)

J: Again, I would omit "about".  So, "Can you explain your house rules again?"  Or, probably more correctly and casually, "Can you tell me about your house rules (again)?" (อันนี้ก็เหมือนกัน ผมก็จะตัดคำว่า about ทิ้งไป เป็น Can you explain your house rules again? หรือบางทีอาจจะถูกต้องกว่าหรือฟังดูสบายๆกว่า ถ้าพูดว่า Can you tell me about your house rules again?)

P: The next one: "I saw many gecko in your garden." (ข้อต่อไป ผมเห็นตุ๊กแกหลายตัวเลยในสวนของคุณ)

J: That would be a statement of observation. (ประโยคที่คุณอ่านมานี่ถือว่าเป็นประโยคที่มาจากการนั่งสังเกตบ้านของผม แก้ประโยคของคุณให้ถูกต้องก็คอ: I saw many geckos in your garden.)

P: Would you repeat your answer? (ช่วยพูดคำตอบของคุณอีกครั้งได้ไหมครับ)

J: I just thought, if you only saw one gecko, you would say, "I saw a gecko in your garden."  If you saw two or more, plural, it would be, "I saw many geckos in your garden." (ผมคิดว่า ถ้าคุณเห็นตุ๊กแกแค่หนึ่งตัว คุณก็อาจจะพูดว่า “ผมเห็นตุ๊กแกตัวนึงในสวนของคุณ” แต่ถ้าคุณเห็นสองตัวหรือมากกว่านั้นเป็นพหูพจน์ ประโยคมันก็จะเป็น I saw many geckos in your garden.)

P: Thank you. (ขอบคุณมากครับ)

P: The next one is, "You and me are good friends." (ข้อต่อไปคือ “คุณและผมเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”)

J: That's charming. (แหม มันฟังดูน่าหลงใหลได้ปลื้มจริงๆเลย)

P: It's incorrect.  What is the correct version? (ประโยคนี้มันผิดไวยากรณ์นะ แบบที่ถูกต้องเป็นยังไงครับ)

J: Would you repeat that?  It would be better to say, "You and I are good friends." (คุณช่วยบอกซ้ำอีกทีหนึ่งได้ไหมครับ มันจะดีกว่าที่จะพูดว่า You and I are good friends.)

P: The next one is, "I ride this bicycle go to work every day." (ข้อต่อไปคือ “ผมขี่จักรยานไปทำงานทุกวัน”)

J: The more correct version or the best way to say that would be, "I ride this bicycle every day." or, "I ride this bicycle daily." (แบบที่น่าจะถูกต้องกว่าหรือวิธีที่ดีที่สุดที่จะพูดประโยคนั้นก็คือ I ride this bicycle every day. หรือไม่ก็ I ride this bicycle daily.)

P: There is a part that talks about going to work. (มันยังมีส่วนที่พูดถึงเรื่องการไปทำงานด้วยนะ)

J: Oh, to work, yes!  I ride this (my) bicycle to work every day. (เอ่อ ใช่ ต้องมีคำว่า to work เข้าไปด้วย)

P: "Every day" as two separate words because it's an adverb.  When "everyday" acts as one word, it's an adjective, like, "Everyday Low Prices". (คำว่า “every day” แบบที่เขียนเป็นสองคำแยกกันเนี่ย ก็เพราะว่ามันเป็น Adverb หรือคำวิเศษณ์นั่นเอง แต่ถ้า everyday เขียนติดกันเป็นคำเดียว มันจะเป็น Adjective หรือคำคุณศัพท์ อย่างเช่นในวลีที่ว่า Every Low Prices – แปลว่า “ราคาสินค้าขายถูกทุกวัน”)

P: The next one, which is the seventh one: "Do you like pet?" (ข้อต่อไปซึ่งเป็นข้อที่เจ็ด “คุณชอบสัตว์เลี้ยงไหม”)

J: More correctly, it should be, "Do you like pets?" (ที่ถูกต้องกว่า มันควรจะเป็นว่า Do you like pets?)

P: You put an S. (คุณเติมตัว S ลงไป)

J: Yes! (ใช่)

P: I've been explaining it in Thai because I needed my viewers to understand how to use count nouns and non-count nouns properly.  Because in Thailand, when I was young, I was taught English this conventional way, which was not correct.  So, when I grew up, when I was in my MBA school, I found myself making mistakes all the time.  So, I was not happy about myself.  So, I decided to throw away all the old knowledge that I had accumulated all my life.  And then, I started observing how my American friends would speak because I wanted to understand it correctly.  Then, I have developed my own way of teaching.  That's what I've done. (ผมอธิบายให้ผู้ฟังฟังเป็นภาษาไทยเนื่องจากว่าผมจำเป็นต้องให้ผู้ฟังเข้าใจว่าจะใช้คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้ให้ถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร เนื่องจากในประเทศไทย ตอนที่ผมยังเด็กๆเนี่ย ผมได้รับการสอนภาษาอังกฤษแบบดั้งเดิม-แบบสมัยก่อนซึ่งไม่ค่อยถูกต้อง ดังนั้นเมื่อผมโตขึ้น ตอนที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยในการเรียนปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ผมพบว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษผิดตลอดเวลาเลย ผมก็เลยไม่ค่อยพึงพอใจกับตัวเองสักเท่าไหร่ ดังนั้นผมก็เลยตัดสินใจทิ้งความรู้ที่ผมได้สั่งสมมาตลอดชีวิต แล้วผมก็เริ่มสังเกตเพื่อนชาวอเมริกันว่าเขาพูดภาษาอังกฤษอย่างไรเพราะว่าผมอยากจะเข้าใจมันอย่างถูกต้องจริงๆ แล้วผมก็เลยพัฒนาแนวทางการสอนของผมเอง แล้วทั้งหมดนั่นก็คือสิ่งที่ผมได้ทำมา)

P: The next one is, "I bought chair yesterday." (ข้อต่อไปคือ “ฉันซื้อเก้าอี้มาเมื่อวานนี้)

J: I bought tair?  (ฉันซื้อ “แทร์” เหรอ)

P: Because it's ungrammatical, that's why he doesn't understand. (เพราะว่ามันผิด Grammar ไง จิมเขาก็เลยไม่เข้าใจที่ผมพูด)

J: All right, now I understand what you're trying to say. (โอเค โอเค, ผมเข้าใจแล้วว่าคุณกำลังพยายามจะพูดอะไร)

P: What should be the correct way? (วิธีพูดที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไรครับ)

J: Confusion in language is part of life. (ความสับสนในเรื่องการใช้ภาษาถือเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิต)

J: It would be better if you said, "I bought a chair yesterday." (มันจะดีกว่านะถ้าคุณจะพูดว่า “I bought a chair yesterday.” คือเติม a เข้าไปด้วย)

P: Or "I bought some chairs yesterday." (หรือว่าใส่ some เข้าไปหน้าคำว่า chairs ก็ได้เป็น I bought some chairs yesterday.)

J: Yeah, plural!  Or, you could say the number.  If you bought two, you would say I bought two chairs yesterday. (ใช่ ถือเป็นพหูพจน์ไง หรือคุณอาจจะใส่ตัวเลขเข้าไปข้างหน้าคำว่า chairs ก็ได้ เช่นถ้าคุณซื้อมาสองตัวคุณก็พูด I bought two chairs yesterday.)

P: I explained to the viewers that it could confuse the other person when you're not using countable nouns properly.  Like when I said "I bought chair.", I pronounced the word "chair" very clearly and you

didn't understand me because I was using it in an improper way. (ผมได้อธิบายให้ผู้ฟังฟังว่าคนที่เราพูดด้วยเขาอาจจะสับสนก็ได้เวลาที่เราใช้คำนามนับได้ไม่ถูกต้อง เหมือนอย่างเวลาที่ผมพูดว่า I bought chair. ผมก็ว่าตัวเองออกเสียงคำว่า chair ชัดแล้วนะ แต่คุณก็ยังไม่เข้าใจผม ก็เนื่องจากว่าผมใช้คำนามนับได้ไม่ถูกต้องนั่นเอง)

P: The next one is (the ninth one), "My mother have plant shop and she sell plant." (ข้อต่อไปซึ่งเป็นข้อเก้า “แม่ของฉันมีร้านขายต้นไม้ และหล่อนก็ขายต้นไม้”)

J: It would be better to say, "My mother has a plant shop and she sells plants. (มันจะดีกว่านะที่จะพูดว่า My mother has a plant shop and she sells plants.)

P: You corrected many parts of my sentence. (คุณแก้ประโยคผมตั้งหลายส่วนแน่ะ)

J: Sorry about that. (ขอโทษด้วยครับ)

P: The tenth, "My daughter keep her diving equipments in the shade." (ข้อสิบ “ลูกสาวของฉันเก็บอุปกรณ์ดำน้ำเอาไว้ในร่ม”)

J: I didn't know you had a daughter. (ผมไม่ยักกะรู้ว่าคุณมีลูกสาวด้วย)

P: I don't.  This is just an example.  Listen again. (ผมไม่มี มันแค่ตัวอย่างเฉยๆ)

J: It would be better to say, "My daughter keeps her dive equipment in the shade." (มันจะดีกว่านะถ้าจะพูดว่า My daughter keeps her dive equipment in the shade.)

P: You corrected several parts.  Jim's answer is ....... (คุณก็แก้หลายส่วนอีกแล้ว คำตอบของจิมคือ .....)

P: Would you repeat your answer? (คุณช่วยบอกคำตอบอีกทีหนึ่งได้ไหมครับ)

J: My daughter keeps her dive equipment in the shade.  I don't think any American would say equipments.  Equipment in itself is somewhat plural.  Or, it could be singular, too.  But, it's plural in this instance. (ทวนประโยคที่ถูกต้องคือ My daughter keeps her dive equipment in the shade. ผมไม่คิดว่าจะมีคนอเมริกันพูดคำว่า equipments แบบเติม s นะ เพราะคำว่า equipment มันฟังดูให้ความรู้สึกเหมือนมันเป็นพหูพจน์อยู่แล้วอ่ะ แต่มันก็สามารถเป็นเอกพจน์ได้ด้วยนะ แต่มันเป็นพหูพจน์อ่ะสำหรับความหมายนี้)

 

[* หมายเหตุ: จริงๆแล้ว จิมเขาอธิบายผิดครับ ที่ถูกต้องตามหลัก grammar ก็คือ คำว่า equipment มันเป็นคำนามนับไม่ได้ (สถานเดียว) มันจึงเติม s ไม่ได้]

 

P: The last one, "My new house need some furnitures." (ข้อสุดท้ายแล้ว “บ้านใหม่ของฉันยังขาดเฟอร์นิเจอร์จำนวนหนึ่ง”)

J: That should be, "My new house needs some furniture." (มันควรจะเป็นว่า My new house needs some furniture.)

P: Jim, I really appreciate your help, your participation. (จิม ผมรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของคุณและการที่คุณมาร่วมออกคลิปวิดีโอกับผมจริงๆ)

J: It's been fun. (ผมสนุกดีครับ)

P: How much do I owe you? (ผมติดหนี้คุณคิดเป็นเงินเท่าไหร่เนี่ย)

J: Only, maybe, 20- or 25,000 American dollars will do the trick. (แค่สองหมื่นหรือสองหมื่นห้าพันดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็น่าจะชดใช้หมดครับ)

P: You're so kind.  I will work here and pay back what I owe you. (คุณใจดีจังเลย ผมจะทำงานที่นี่เพื่อชดใช้สิ่งที่ผมเป็นหนี้คุณก็แล้วกันนะ)

P: That's it for now. (จบแค่นี้นะครับ)

J: Piboon, my future slave! (พิบูลย์ – ว่าที่ “ทาส” ของผม)

P: Would you show us to your garden and swimming pool?  Let's go. (คุณจะพาเราไปดูสวนและสระว่ายน้ำของคุณหน่อยได้ไหมครับ)

J: Do you want to now?  Walk around? (คุณอยากไปดูตอนนี้เลยเหรอ เดินดูรอบๆเหรอ)

P: First of all, let me show you how tall Jim is.  You are my giant. (ก่อนอื่น ผมจะให้คุณดูว่าจิมเขาตัวสูงแค่ไหน คุณคือยักษ์ของผม)

J: They grow as big in California. (ในรัฐแคลิฟอร์เนีย พวกผู้คนเขาก็ตัวสูงใหญ่กันแบบนี้แหละ)

P: Jim, could you tell us something about your swimming pool? (จิม คุณช่วยบอกอะไรเกี่ยวกับสระว่ายน้ำของคุณหน่อยได้ไหม)

J: This is the centerpiece of our tropical backyard.  The lovely pool is warm year-round.  It's heated by the sunshine and we work very hard to keep it clean and nice for our guests. (นี่เป็นส่วนที่เด่นที่สุดของสวนหลังบ้านที่เป็นสวนแบบเขตร้อนชื้น สระว่ายน้ำที่น่ารักนี้น้ำมันอุ่นสบายตลอดปี มันโดนแดดส่องให้อุ่นแล้วเราก็ต้องลงแรงเยอะมากในการบำรุงรักษาให้มันสะอาดแล้วก็ดูดีสำหรับแขกที่มาพักบ้านเรา)

J: The backyard is full of indigenous local plants.  Probably, many of them you can recognize from Thailand, as well.  It seems that tropical plants are common all around the world. (ในสวนหลังบ้านนี่มันเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ท้องถิ่น ผมว่าต้นไม้หลายๆชนิดคุณก็น่าจะเห็นมันในประเทศไทยเหมือนกัน มันดูเหมือนกับว่าพันธุ์ไม้เขตทรอปปิคหรือพันธุ์ไม้เขตร้อนชื้นเนี่ยมันมีให้เห็นได้ทั่วโลกอ่ะเนอะ ไม่ได้ถือเป็นของแปลกอะไร)

P: Could you show the viewers the signs that you hung on the fence? (คุณช่วยโชว์ให้ผู้ชมดูป้ายที่คุณแขวนไว้ที่รั้วหน่อยได้ไหม)

J: Sun time is fun time.  This is a "Clothing Optional" place.  You can be dressed or nude.  It's up to you. (เวลาที่อยู่กลางแดดก็เป็นเวลาแห่งความสนุก และนี่คือสถานที่ที่ได้ชื่อว่า “จะใส่เสื้อผ้าหรือไม่ใส่ก็ได้ – ตามใจคุณ” คุณสามารถจะสวมเสื้อผ้าหรือจะเปลือยก็ได้ ตามใจคุณ)

P: Are you serious? (คุณพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย)

J: I am serious.  There is no dress code.  I believe that it is important for my guests to have the freedom to do whatever they want back here.

And the place is nice and private.  So, people are free to enjoy whatever lifestyle they like. (พูดจริงสิครับ เราไม่มีกติกาเรื่องการแต่งกาย ผมว่ามันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแขกที่มาพักบ้านผมที่จะมีอิสระในการที่จะทำสิ่งที่เขาอยากทำในสวนหลังบ้านนี้ และสถานที่นี้ก็ดูโอเคแล้วก็เป็นส่วนตัว ดังนั้นพวกแขกของผมก็ควรจะมีอิสระในการที่จะเลือกสนุกกับไลฟ์สไตล์ในแบบที่พวกเขาชอบ)

P: Thank you very much, Jim, for showing us your lovely swimming pool.  I had a swim last night. (ขอบคุณมากๆเลยครับจิมที่พาพวกเรามาดูสระว่ายน้ำที่น่ารักของคุณ เมื่อคืนนี้ผมก็ว่ายน้ำในนี้ด้วย)

Jim: Okay, let's dive in. (โอเค งั้นก็มาดำน้ำกันเลย)

 

 

สอนและแปลโดย อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-01-08 15:20:08.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำแปลบทสนทนาคลิป YouTube เบอร์ N30 - สอนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง

คำแปลของบทสนทนาในคลิปเรียนภาษาอังกฤษทาง YouTube

ตอนที่ N30: การฝึกแก้ประโยคภาษาอังกฤษที่คนไทยมักพูดผิดให้ถูก Grammar (สอนโดย อ.พิบูลย์ และเพื่อนชาวอเมริกัน Jim Barren)

https://www.youtube.com/watch?v=aG0NlquEdcw

 

P: I would like you to meet my guest, Jim.  Hello, Jim!  How are you doing? (ผมขอเชิญให้คุณพบกับแขกรับเชิญของผม [ที่ชื่อว่า “จิม”]  สวัสดีครับจิม  คุณเป็นอย่างไรบ้าง)

J: Hello!  I'm doing fine. (สวัสดี ผมสบายดี)

P: I know you as Jim.  What is your last name? (ผมรู้จักคุณในนามของจิม คุณนามสกุลอะไรครับ)

J: Barren. (แบเริ่น)

P: Jim Barren (จิม แบเริ่น)

P: How long have you lived in Fort Lauderdale? (คุณอยู่ที่เมืองฟอร์ท ลอเดอร์เดลมานานแค่ไหนแล้วครับ)

J: I have been here for 32 years.  I moved here from California in 1984. (ผมอยู่ที่นี่มา 32 ปีแล้ว  ผมย้ายมาจากรัฐแคลิฟอเนียในปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527)

P: You don't look that old. (คุณไม่ได้ดูอายุมากขนาดนั้นนะ)

J: I'm only 500 years old. (ผมอายุแค่ 500 ปีเท่านั้นเอง)

P: What do you do for a living here in Fort Lauderdale? (คุณทำอาชีพอะไรในเมืองฟอร์ท ลอเดอร์เดล)

J: I'm an artist.  I did that, right back there. (ผมเป็นศิลปิน ผมวาดรูปที่อยู่ข้างหลังนั่น)

P: The picture that you see behind us is his work. (รูปภาพที่คุณเห็นอยู่ข้างหลังเรานั้นเป็นผลงานการวาดของจิมครับ)

P: What kinds of drawings or paintings do you like to make? (คุณชอบสร้างสรรค์งานวาดภาพหรือภาพระบายสีประเภทไหนบ้างครับ)

J: My specialty is satirical drawings of target professions and sports, and life situations. (ความเชี่ยวชาญของผมก็คือการวาดภาพเสียดสีสังคมที่เน้นกลุ่มอาชีพที่ผมสนใจแล้วก็ด้านกีฬา แล้วก็เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของคนเรา)

 

GOOD FRIENDS … They couldn't decide what to wear. (เพื่อนที่ดี ... พวกเขาอาจจะตัดสินใจไม่ถูกว่าจะแต่งตัวอย่างไรดี [เวลาที่นัดมาเจอกัน])

 

(ที่บ้านจิม มีสระว่ายน้ำที่แขวนป้ายเอาไว้ว่า “Clothing Optional” ซึ่งแปลว่า จะใส่เสื้อผ้าลงว่ายน้ำหรือไม่ใส่ก็ได้)

 

P: Jim, because you have that sign on, "CLOTHING OPTIONAL", have you ever done swimming with no bathing suit on? (จิม เนื่องจากว่าคุณมีป้ายแขวนเอาไว้ว่า “จะใส่ชุดว่ายน้ำหรือไม่ใส่ก็ได้” คุณเคยว่ายน้ำโดยไม่ใส่กางเกงว่ายน้ำหรือเปล่า)

J: I don't even know how to swim with clothing on. (ผมไม่รู้จะว่ายน้ำอย่างไรเลย ถ้าหากมีเสื้อผ้าอยู่บนตัวผม)

P: So, let's get to our questions.  I have about 20 or 21 questions for you. (ถ้าอย่างนั้น เรามาเข้าสู่คำถามกันเลยก็แล้วกัน  ผมมีประมาณ 20-21 คำถามที่จะให้คุณตอบ)

J: Only 21 questions. (แค่ 21 คำถามเท่านั้นเองเหรอ)

P: Only 21 and it will take you only half an hour. (แค่ 21 คำถามเท่านั้น แล้วมันก็จะใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น)

P: Would you mind that? (คุณจะว่าอะไรมั้ยเนี่ย)

J: We'd better move a little faster than that or tear your list of questions.  Tear the questions in half. (งั้นเราน่าจะสนทนากันให้เร็วกว่านี้สักหน่อยนะ หรือไม่ก็ฉีกกระดาษคำถามของคุณซะ ฉีกคำถามให้เหลือแค่ครึ่งเดียว)

P: We have known each other for only 3 days.  Jim has never seen the questions that I wrote on this paper. (เราสองคนเพิ่งรู้จักกันมาแค่ 3 วัน  แล้วจิมเขาก็ไม่เคยเห็นคำถามที่ผมเขียนลงบนกระดาษนี้)

J: Piboon, I can't make any sense at all of what you're saying. (พิบูลย์ ฉันไม่รู้เรื่องเลยว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่)

P: I was just explaining to the viewers that I am going to read out each of these questions very slowly and clearly because they are not grammatical. (ผมแค่กำลังอธิบายให้ผู้ฟังฟังว่า ผมกำลังจะอ่านคำถามแต่ละข้ออย่างช้าและชัดมากๆ เนื่องจากว่าพวกคำถามเหล่านี้มันผิดแกรมม่า)

P: So, if I read too fast, you may understand that they are grammatical.  I have to read very slowly and clearly.  Are you ready? (ดังนั้น ถ้าเกิดผมอ่านเร็วเกินไปเนี่ย คุณอาจจะเข้าใจว่าประโยคเหล่านั้นมันถูกแกรมม่าก็ได้  ผมก็เลยจำเป็นต้องอ่านให้ช้าๆ และชัดๆ หน่อย  คุณพร้อมหรือยังครับ)

P: I have two parts.  The first part is about the verbs and the verb forms.  The other part is about parts of speech. (ผมมี [วิดีโอกับจิม] 2 ตอนนะครับ  ตอนแรกจะเกี่ยวกับการใช้คำกริยาและรูปฟอร์มของคำกริยา  ส่วนอีกตอนหนึ่งจะเกี่ยวกับคำประเภทต่างๆ)

P: Okay, are you ready to correct me? (โอเค คุณพร้อมที่จะแก้ผมหรือยัง)

J: OK. (โอเค พร้อมแล้ว)

 

P: The first one is, "Are you enjoy it?" (ข้อแรกคือ “คุณสนุกหรือมีความสุขกับมันไหม” – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: That should be, "Are you enjoying it?" or "Have you enjoyed it?", something like that. (มันควรจะเป็น Are you enjoying it? หรือ Have you enjoyed it?)

P: Jim corrected this sentence as “Are you enjoying it?” or “Have you enjoyed it?” (จิมแก้ประโยคนี้เป็น Are you enjoying it? หรือไม่ก็ Have you enjoyed it?)

P: Or, you could ask this thing as: "Do you enjoy it?" (หรือว่าคุณอาจจะถามสิ่งนี้เป็น Do you enjoy it? ได้มั้ย)

J: Yes. (ได้)

 

P: Let's move on to the second one. (ไปข้อสองต่อกันเลยนะครับ)

P: What do you doing? (คุณกำลังทำอะไรอยู่ – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: "What are you doing?" would be more correct. (แก้เป็น What are you doing? จะถูกกว่า)

 

P: The third one.  There is so many bugs in your swimming pool. (ข้อที่สาม “มีแมลงมากมายหลายตัวอยู่ในสระว่ายน้ำของคุณ – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: I hope I scooped them all out. (ฉันหวังว่าฉันได้ช้อนมัน [แมลงพวกนั้น] ขึ้นมาหมดแล้วนะ)

P: No, please correct my sentence. (ไม่เอาน่ะ กรุณาแก้ประโยคของผมให้ถูกต้องด้วย)

J: That should be "are", Piboon.  There are so many bugs in your swimming pool. (มันควรจะเป็นคำว่า “are” แทนคำว่า “is” นะพิบูลย์ ที่ถูกควรจะเป็น There are so many bugs in your swimming pool.)

 

P: The fourth one.  I never do this in my whole life. (ข้อสี่ ฉันไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: I have never done this in my whole life. (แก้ประโยคที่ผิดข้างบน ให้เป็นไปตามประโยคนี้)

 

P: The fifth one is asked when you want to know if the person you're talking to has already had lunch.  So, the question is, "Do you have lunch?" (ข้อห้านี่จะถูกถามเมื่อคุณอยากจะรู้ว่าบุคคลที่คุณกำลังพูดอยู่ด้วยเนี่ยได้ทานข้าวเที่ยงมาแล้วหรือยัง  ดังนั้นคำถามที่ผมจะให้คุณแก้ก็คือ “คุณทานอาหารเที่ยงใช่ไหม” – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: That could be correct if you're asking me if I have lunch.  But, more correctly, it should be "Have you had lunch?" (ประโยคที่คุณอ่านมามันก็สามารถจะถูกต้องได้นะถ้าความหมายของคุณคือคุณอยากจะรู้ว่าว่าผมเป็นคนที่ทานอาหารเที่ยงไหม  แต่ที่ถูกกว่าในเหตุการณ์นี้ควรจะเป็น Have you had lunch?)

 

P: The sixth one is asked when a person, for example, you and me.  I have to go away for a little while.  And then, when I get back, I say to you, "Hey, I come back!"  OK, let me explain it to my viewers. (ข้อหกนี่จะถูกถามเมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น คุณกับผม คือผมต้องออกไปไหนสักพักหนึ่ง แล้วเมื่อผมกลับมา ผมก็พูดกับคุณว่า “Hey, I come back.”  โอเค ขอผมอธิบายให้ผู้ฟังของผมได้ฟังสักหน่อย)

P: In this situation, I have gone away, I have come back and I say to you, "I come back." (ในเหตุการณ์แบบนี้ ผมได้ออกไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วผมก็ได้กลับมาที่เก่าแล้ว และผมพูดกับคุณว่า “ผมกลับมา” – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: Yes, that would be incorrect even though I'd understand you.  More correct would be, "I have come back." or simply, "I'm back." (ใช่ครับ ประโยคนั้นมันผิดแกรมม่า ถึงแม้ว่าผมจะเข้าใจคุณก็ตาม  ที่ถูกต้องกว่าจะต้องเป็นว่า I have come back. หรือง่ายๆเลยนะคือ I’m back.)

 

P: You have a guest.  Do you need to talk to him?  Not for now because you are my guest. (มีคนมาหาคุณอ่ะ  คุณจำเป็นต้องไปคุยกับเขาหรือเปล่า  คงไม่ใช่ตอนนี้นะเพราะว่าตอนนี้คุณกำลังเป็นแขกของผมอยู่)

J: Uno momento por favor! (= One moment, please!) (รอสักครู่หนึ่งนะครับ – ภาษาสเปน)

J: Sorry for the Spanish. (ขอโทษด้วยนะสำหรับภาษาสเปน)

P: You speak Spanish.  (That's) Very good. (คุณพูดภาษาสเปนด้วย  ดีจัง)

 

P: He walk very slowly. (เขาเดินช้ามาก – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: He's walking very slowly. (เขากำลังเดินอย่างเชื่องช้ามาก)

P: What about, "He walks very slowly."?  Is it okay? (แล้วแก้เป็น He walks very slowly. ล่ะ ได้มั้ย)

J: That would be okay. (แบบนั้นก็ได้นะ)

 

P: The eighth one is asked when you see a person, you want to ask that person whether he or she has finished their lunch or using the bathroom.  And the question is, "Do you finish?" (ข้อแปดนี่จะใช้ถามเมื่อคุณเห็นใครสักคนหนึ่ง คุณอยากจะถามเขาหรือหล่อนว่า เขาได้ทานข้าวเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม หรือได้ใช้ห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม คำถามของผมก็คือ “คุณทำเสร็จใช่ไหม” – ประโยคนี้ผิดแกรมม่า)

J: It should be, "Have you finished?" (มันควรจะเป็น Have you finished?)

J: Yeah, for instance, "Have you finished lunch?" / "Have you finished with the bathroom?"  That would be more correct. (พูดเต็มๆประโยค ก็อย่างเช่น “คุณทานอาหารเที่ยงเสร็จหรือยัง” หรือ “คุณเสร็จภารกิจกับห้องน้ำแล้วใช่ไหม”)

P: What about, "Are you finished?"?  Is it okay? (แล้วใช้ว่า Are you finished? ได้มั้ย)

J: Yes. (ได้สิ)

 

P: The ninth one!  Oh, we've almost come to the end.  Are you happy? (ข้อเก้า โอ้! เราเกือบจะถึงข้อสุดท้ายแล้ว คุณดีใจไหม)

J: Delighted. (ดีใจอย่างสุดซึ้งเลย)

P: I've just met you for the first time and I ask you, "Where do you come from?" (ผมเพิ่งได้พบคุณเป็นครั้งแรกแล้วผมก็ถามคุณว่า “(ในชีวิตของคุณ) คุณเดินทางมาจากไหน” – ประโยคนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาเท่าใดนัก)

J: That would be correct, but also, more colloquial for American English, you would say, "Where are you from?" (ประโยคนั้นมันก็ถือว่าไม่ได้ผิดแกรมม่านะ แต่ถ้าจะให้ฟังดูเป็นภาษาของการสนทนาที่เป็นธรรมชาติตามหลักภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน คุณก็ควรจะพูดว่า Where are you from?)

 

P: The last one in this segment is, "Do you arrive at my home?"  This question will be asked when your guest has arrived at your home and you are worried about him.  You call him and ask, "Do you arrive at my home?"  Is it correct? (ข้อสุดท้ายในวิดีโอภาคแรกนี้ก็คือ “คุณมาถึงบ้านของผมใช่มั้ย”  คำถามนี้จะถูกถามเมื่อแขกที่จะมาพักบ้านคุณเขามาถึงบ้านคุณเรียบร้อยแล้ว แล้วคุณก็เป็นห่วงว่าเขามาถึงบ้านอย่างราบรื่นหรือเปล่า คุณจึงโทรศัพท์ไปหาเขาแล้วถามว่า “คุณมาถึงบ้านของผมใช่มั้ย”  ประโยคนี้ถูกหลักการใช้ภาษามั้ย)

J: I would say that's incorrect even though it does communicate.  But, the best way to word that question would be, "Have you arrived at my home?" (ผมขอพูดว่ามัน “ผิด” ก็แล้วกัน ถึงแม้ว่ามันจะสื่อสารพอรู้เรื่อง  แต่การใช้คำให้เหมาะในคำถามนี้ควรจะเป็น Have you arrived at my home?)

 

P: Jim, I think we have done it for, like, 15 minutes.  I think that should be our first video.  Would you mind staying with me for the second one? (จิม ผมคิดว่าเราได้ถ่ายทำวิดีโอกันมาสักสิบห้านาทีได้แล้ว  ผมว่ามันน่าจะเพียงพอที่จะเป็นวิดีโอภาคแรกของเราได้ คุณจะรังเกียจไหมที่จะอยู่ต่อเป็นเพื่อนผมสำหรับภาคสอง)

J: I'd be the happiest guy in the world. (ถือว่าผมจะได้เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลย [ที่จะได้เป็นแขกของคุณในวิดีโอตอนสองต่อ])

P: That's it for now.  You will see Jim again in our next video.  Bye! (สำหรับวันนี้ก็ขอจบเพียงแค่นี้ครับ  คุณยังจะได้เจอกับจิมต่อในวิดีโอตอนหน้า สวัสดีครับ)

 

สอนและแปลโดย อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2017-01-02 08:06:24.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  Adjectives ความหมายในแง่ดี-แง่บวก ที่ควรรู้

 สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ โพสต์แรกของปี ผมขอเสนอคำ Adjectives (คำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์) ที่มีความหมายในแง่ดีหรือในแง่บวก เอาไว้ใช้เวลาที่มีคนเสนอความคิดดีๆ หรือทำอะไรดีๆ มาให้เรา นอกจากเราจะพูดศัพท์ง่ายๆว่า

 

That's good. (ดีจังเลย) หรือ

That's great. (เยี่ยมไปเลย)

That’s cool. (นั่นมันเจ๋งหรือเท่ดีเนอะ) แล้ว เรายังสามารถใช้คำ Adjectives เหล่านี้ได้ด้วยครับ

Nice (ไน้ส์)  ดี

Awesome (ออ-เสิ่ม)  แจ๋วไปเลย

Fabulous (แฟ้-บยู-เลิส)  ดี, น่าประทับใจ

Magnificent (แม็ก-นิ-ฟิ-เสิ่น)  เป็นผลงานที่สวยงาม

Amazing (อะ-เม-ซิ่ง)  ดี, น่าทึ่ง

Wonderful (วัน-เดอ-ฟุล)  ดี, น่าอัศจรรย์ใจ

Excellent (เอ๊ก-เสอะ-เหลิ่น)  ยอดเยี่ยม

Superb (สุ-เพิร์บ)  สุดยอด

Marvelous (มา-เวอะ-เลิส)  = ยอดเยี่ยม-มหัศจรรย์

Cool (คูล)  = เท่, เจ๋ง

เช่นว่า That’s nice.  That’s awesome.  That’s fabulous.  หรือเราอาจจะใช้พูดแบบย่อๆ พูดแค่คำ Adjective นั้นๆ เพียงคำเดียวก็ได้

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – สาขาจรัญสนิทวงศ์-85)

guest

Post : 2016-12-19 20:58:22.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำแปลบทสนทนาคลิป YouTube เบอร์ N29

คำแปลของบทสนทนาในคลิป YouTube N๒๙: เรียนฟัง+พูดอังกฤษแบบ Reality กับคนอเมริกัน บนหาด Miami

ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=oeSGTgKfc00

 

 

 

P: Hi, my name is Piboon.  (I’m) From Bangkok, Thailand. (สวัสดีครับ ผมชื่อพิบูลย์ มาจากกรุงเทพฯ ประเทศไทยครับ)

แขก: Hey, Piboon, how are you? (สวัสดีพิบูลย์ คุณเป็นอย่างไรบ้างล่ะ)

P: I’m great.  Thank you.  I am an English-language teacher.  I’m making a video on YouTube and I don’t know if you would mind being featured in one of my next videos. (ผมสบายดีครับ ขอบคุณมาก ผมเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ผมกำลังถ่ายทำวิดีโอที่จะโพสต์ลงบน YouTube และผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะรังเกียจไหมที่จะร่วมแสดงอยู่ในหนึ่งในวิดีโอที่ผมจะลงในวันข้างหน้านี้)

แขก: Sure, we don’t mind at all. (ได้สิ เราไม่รังเกียจแม้แต่น้อยเลย)

P: OK, that’s good. (โอเค งั้นก็ดีเลย)

P: What’s your name? (คุณชื่ออะไรครับ)

แขก: My name is Dan. (ผมชื่อแดน)

P: What about you? (แล้วคุณล่ะ)

แขก: My name is Daniel. (ผมชื่อแดนเนียล)

P: Where are you from? (คุณมาจากที่ไหนครับ)

Dnl: I’m from Mexico City. (ผมมาจากเมืองเม็กซิโกซิตี้)

Dn: I live in New York City. (ผมอาศัยอยู่ในเมืองนิวยอร์คซิตี้)

P: What are you doing here in Miami? (แล้วคุณมาทำอะไรในไมอามี่ครับ)

Dn: We came down to vacation to have a nice weekend as my friend’s birthday. (เราลงมาพักร้อนเพื่อที่จะมีวันหยุดสุดสัปดาห์ดีๆในวันเกิดของเพื่อนผม)

P: When is your birthday? (เมื่อไหร่คือวันเกิดของคุณครับ)

Dnl: It is on October 1st.  It will be next Saturday. (มันเป็นวันที่ 1 ตุลาคม – มันคือวันเสาร์หน้าครับ)

Dn: Tomorrow. (พรุ่งนี้ต่างหากล่ะ)

P: Today is September 30th.  You know, time flies.  You get confused sometimes. (วันนี้คือวันที่ 30 กันยายน ... คือว่าเวลามันโบยบินไปอย่างรวดเร็ว (เวลาที่เรามีความสุข) คนเราก็เลยสับสนเรื่องเวลากันบ้าง)

Dnl: Yes, (time flies) more when you are on vacation.  (ใช่ โบยบินเร็วมาก โดยเฉพาะเวลาที่เรามาเที่ยวพักผ่อน)

P: Yeah, I’m on vacation, too.  And I’m going to be here in the U.S. for almost 2 months. (ใช่ ผมก็มาเที่ยวพักผ่อนเหมือนกันครับ และผมก็จะอยู่ที่อเมริกาเป็นเวลาเกือบๆสองเดือน)

Dn: Two months, really?  Well, we’re on vacation for 5 days.  We’ve been here for one day and he’s already forgot what day it is.  So, that’s the start of a very nice vacation. (สองเดือนเหรอ จริงเหรอ คือว่าเราสองคนมาพักผ่อนกันห้าวัน เรามาที่นี่กันเพียงวันเดียว และเพื่อนผมเขาก็ลืมเสียแล้วว่าวันนี้เป็นวันอะไร ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของช่วงวันลาพักร้อนที่ดีทีเดียว)

P: When did you get to Miami? (คุณมาถึงไมอามี่เมื่อไหร่ครับ)

Dn: We arrived yesterday.  We’re going to be here until Monday.  And pretty much the entire time that we’re here, we will either be sleeping, drinking or enjoying the beach. (เรามาถึงเมื่อวานนี้ เราจะอยู่ที่นี่จนถึงวันจันทร์ แล้วเวลาส่วนใหญ่ที่เราอยู่นี่ ถ้าเราไม่นอนหลับ หรือดื่มสังสรรค์เฮฮา เราก็จะมาหาความสุขบนชายหาดนี่แหละ)

P: I see.  Where in New York do you live? (ผมเข้าใจแล้ว คุณอาศัยอยู่ตรงไหนในนิวยอร์คครับ)

Dn: I live in Manhattan.  I live by Columbus Circle and I live with my friend Danny who lives with me.

P: I’m going to New York, actually, maybe 2 weeks from now. (ผมอยู่ในแมนฮัตตัน ผมอยู่ใกล้ๆ โคลัมบัสเซอร์เคิล แล้วผมก็อยู่กับเพื่อนผม (แดนนี่) ผู้ซึ่งอาศัยอยู่กับผม – ซึ่งก็หมายความว่าอาศัยอยู่ในบ้านของผมนั่นเอง)

Dn: Oh, great! (โอ้! เยี่ยมเลย)

P: And I’m going to stay in an apartment near Times Square. (ผมก็เตรียมที่จะไปพักที่อพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่งใกล้ๆ ไทม์สแควร์)

Dn: Oh, we live right by Times Square.  When you’re there, if you need any suggestions of things to do, we would love to help you out. (โอ้! เราอยู่ใกล้ๆ ไทม์สแควร์เลย เอาไว้เวลาคุณไปเที่ยวที่นั่นแล้วถ้าเกิดคุณต้องการคำแนะนำว่าจะต้องทำอะไรยังไงดี เราจะยินดีที่จะช่วยเหลือคุณเต็มที่เลยนะ)

P: Thank you very much.  You’re very kind. (ขอบคุณมากเลยครับ คุณใจดีจัง)

Dn: We’re on vacation. (ก็เรามาพักร้อนกันอยู่นี่นา) – [ก็ต้องใจดีหน่อยสิ]

P: In Thailand, (many) Thai people try very hard to learn English.  Many English teachers say grammar is very important.  And many other English teachers say grammar is NOT important.  What is your view on grammar? (ในประเทศไทย มีคนไทยจำนวนมากพยายามอย่างมากที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แล้วก็มีครูสอนภาษาอังกฤษหลายคนบอกว่าไวยากรณ์หรือแกรมม่ามันสำคัญมาก แล้วก็มีครูสอนภาษาอังกฤษอีกหลายคนบอกว่าไวยากรณ์หรือแกรมม่าไม่สำคัญ คุณมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับเรื่องแกรมม่าบ้างครับ)

Dn: That’s a very good comment.  I think that it is very important to learn English but it’s also very important to understand how to write English.  So, to learn English is an art form to perfect.  To learn how to write English is probably more difficult.  To learn English is to help you communicate.  If you want to learn how to write English, you have the opportunities that will come after that. (นี่เป็นข้อคิดเห็นที่ดีมากนะ ผมคิดว่ามันก็สำคัญนะที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แต่มันก็สำคัญมากเหมือนกันที่จะต้องรู้วิธีการเขียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นการที่จะเรียนภาษาอังกฤษเนี่ยมันเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งที่จะต้องทำให้สมบูรณ์แบบ ส่วนการที่จะเรียนการเขียนภาษาอังกฤษนี่ ผมว่ามันน่าจะยากกว่านะ การเรียนภาษาอังกฤษมันช่วยให้คุณสื่อสารได้ ถ้าคุณต้องการเรียนการเขียนภาษาอังกฤษ คุณก็จะได้รับโอกาสดีๆที่จะติดตามมาในภายหลัง)

P: By learning how to write English, do you mean grammar, or not grammar? (ในการเรียนรู้ที่จะเขียนภาษาอังกฤษเนี่ย คุณหมายถึงแกรมม่าหรือไม่ได้หมายถึงแกรมม่าครับ)

Dn: To learn English is to have proper grammar.  So, it’s learning grammar, yes!  But, I think my friend (Daniel), since he is from Mexico City and he has taught himself how to speak English, he could probably elaborate more than I can.  He has been in the United States for 7 years.  And he has learned by living in the United States in order to succeed successfully.  He has had to both learn how to speak proper English but also learn how to read and write proper English, as well.  So, he can probably explain better. (การเรียนภาษาอังกฤษมันก็หมายถึงการใช้แกรมม่าอยู่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นคำตอบของผมก็คือ “ใช่” เราก็ต้องเรียนแกรมม่าด้วย แต่ผมคิดว่าเพื่อนผม (แดเนียล) เนื่องจากเขามาจากม็กซิโกซิตี้และเขาก็ฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เขาน่าจะอธิบายรายละเอียดได้มากกว่าผม เขาอยู่อเมริกามาเจ็ดปีแล้ว และเขาก็เรียนรู้ที่จะพูดภาษาอังกฤษโดยการใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ เขาต้องเรียนทั้งพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้องแล้วยังต้องเรียนที่จะอ่านและเขียนอย่างถูกต้องด้วย ดังนั้นเขาน่าจะสามารถอธิบายได้ดีกว่าผมนะ)

P: OK, Daniel!  Would you mind sharing with me and my viewers how hard it was for you to start learning English? (โอเค แดเนียล คุณจะรังเกียจไหมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ให้ผมและคนดูยูทูปฟังเกี่ยวกับว่าตอนที่คุณเริ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่ๆเนี่ย มันยากลำบากแค่ไหน)

Dnl: It was hard when I started learning.  English is my second language.  In my country, Mexico, we learn to speak first and then, to write.  In the United States, when you come in to work or to speak to somebody else, you need to be able to have proper grammar when you speak and when you write.  So, grammar is very important. (มันก็ลำบากนะตอนผมเริ่มเรียนอ่ะ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองของผม ในประเทศของผม (ประเทศเม็กซิโก) เราเรียนพูดก่อนแล้วค่อยเรียนเขียนทีหลัง ในประเทศสหรัฐอเมริกาเนี่ย เวลาที่คุณเข้ามาทำงานหรือพูดกับบุคคลอื่นเนี่ย คุณจำเป็นที่จะต้องมีแกรมม่าที่ถูกต้องเวลาที่คุณพูดหรือเวลาที่คุณเขียน ดังนั้นแกรมม่าสำคัญมากเลย)

P: Maybe, that’s it!  You have been contributing something very worthwhile to many people. (ผมว่าเราพอแค่นี้ก็แล้วกันนะครับ คุณได้ให้สิ่งดีๆและมีคุณค่าแก่คนมากมายเลย)

Dn: I hope so. (ผมก็หวังว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ)

P: May your good karma bring you very good things! (ขอให้กรรมดีของคุณได้ชักนำสิ่งดีๆมาสู่ตัวคุณนะครับ)

Dn: Everything’s about good karma. (ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกี่ยวกับเรื่องกรรมดีนี่แหละ)

P: All right, thank you very much, Dan & Daniel. (โอเค ขอบคุณมากครับ แดนและแดเนียล)

Dn & Dnl: You’re welcome.  Thank you so much.  Bye, guys!  Have a good day. (ยินดีครับ ขอบคุณมาก บ๊ายบายครับท่านผู้ชม ขอให้คุณมีวันที่ดีนะ)

-----------------------------------------------

P: Hi, my name is Piboon.  I am an English-language teacher from Bangkok, Thailand.  I am visiting Miami.  Here on Miami Beach, I am approaching you because you look like someone who speaks English.  Do you speak English? (สวัสดีครับ ผมชื่อพิบูลย์ ผมเป็นครูสอนภาษาอังกฤษจากกรุงเทพฯ ประเทศไทย ผมกำลังมาเที่ยวที่ไมอามี่ครับ แล้วก็บนหาดไมอามี่แห่งนี้ ที่ผมเข้าหาคุณเนี่ยก็เป็นเพราะว่าคุณดูเหมือนคนที่พูดภาษาอังกฤษ (เป็นภาษาหลัก) คุณพูดภาษาอังกฤษได้ใช่ไหมครับ)

แขก: Yes, I do. (ใช่ครับ ผมเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษครับ)

P: My name is Piboon. (ผมชื่อพิบูลย์ครับ)

แขก: Hi, Piboon! (สวัสดี พิบูลย์)

P: What’s your name? (คุณชื่ออะไรครับ)

แขก: My name is Mark. (ผมชื่อมาร์ค)

P: Mark, where are you from? (คุณเป็นคนที่ไหนครับ มาร์ค)

M: I’m from Buffalo, New York. (ผมเป็นคนที่มาจากเมืองบัฟฟาโลว์ รัฐนิวยอร์ค)

P: What are you doing here in Miami? (แล้วคุณมาทำอะไรที่ไมอามี่นี้ครับ)

M: I live here now. (ตอนนี้ ผมอาศัยอยู่ที่เมืองนี้แล้ว)

P: How long have you lived in Miami? (คุณอาศัยอยู่ในไมอามี่มานานแค่ไหนแล้วครับ)

M: I’ve lived here for 19 years now. (ผมอยู่นี่มาสิบเก้าปีแล้ว)

P: 19 years, really!  What did you do when you were in New York? (สิบเก้าปี จริงเหรอเนี่ย แล้วคุณทำงานอะไรล่ะตอนที่คุณอยู่ที่นิวยอร์คอ่ะ)

M: When I was in New York City after Buffalo, I was a social worker. (ตอนที่ผมอยู่เมืองนิวยอร์คซิตี้ หลังจากย้ายมาจากเมืองบัฟฟาโลว์ ผมก็ทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ครับ)

P: By being a social worker, what did you do? (แล้วที่ว่าเป็นนักสังคมสงเคราะห์เนี่ย คุณทำอะไรอ่ะ)

M: I worked with people with development of disabilities. (ผมทำงานกับคนที่มีความพิการทางร่างกาย)

P: What do you like to eat? (คุณชอบกินอะไรครับ)

M: A lot of things!  Just not in small quantities.  Very American on my taste that way! (หลายอย่าง ... แล้วก็ไม่ได้กินปริมาณน้อยๆเสียด้วย ค่อนข้างจะกินแบบอเมริกันสักหน่อย – คือกินอาหารที่เขาเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ๆ)

P: Because I teach English, I would like to know your view on grammar.  Many native English speakers are not aware of grammar because, you know, it’s not important for them.  How do you feel about grammar? (เนื่องจากว่าผมสอนภาษาอังกฤษ ผมก็เลยอยากจะรู้ความคิดเห็นของคุณเรื่องแกรมม่าหน่อย เจ้าของภาษาอังกฤษหลายคนไม่ค่อยระวังหรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องแกรมม่าเพราะมันอาจจะไม่สำคัญสำหรับเขา คุณรู้สึกยังไงบ้างสำหรับเรื่องแกรมม่า)

M: I think grammar is important if you want to make an impression on somebody that has some education or knows how to express an idea. (ผมคิดว่าแกรมม่าสำคัญนะถ้าหากว่าคุณอยากจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเขาประทับใจอ่ะ คือฝ่ายตรงข้ามที่คุณคุยด้วยเนี่ยเขาอาจจะเป็นคนที่มีการศึกษาหน่อย แล้วเขาก็อาจจะรู้วิธีที่จะพูดแสดงความคิดเห็นออกไป)

P: I see.  It’s also important to ask you what the definition of grammar is in your point of view. (โอเค ผมเข้าใจแล้ว คราวนี้มันก็สำคัญเหมือนกันนะที่ผมจะต้องถามคุณว่า คำจำกัดความของคำว่า “แกรมม่า” ในมุมมองของคุณคืออะไร)

M: Well, good grammar is using the correct sentence structure and using an adjective as an adjective as opposed to an adverb and knowing your language or the rules of your language. (อึม! แกรมม่าที่ดี-ที่ถูกต้องก็คือการใช้โครงสร้างประโยคให้เหมาะสม และใช้ adjective (คำคุณศัพท์) ในที่ที่ควรใช้ adjective รู้ว่ามันใช้แตกต่างกับ adverb (คำวิเศษณ์) อย่างไร แล้วก็ต้องเข้าใจตัวภาษาหรือกฎของภาษาที่คุณพูดอยู่ด้วย)

P: You said grammar is important.  Is it because you EVER were a teacher or you NEVER were? (คุณพูดว่าแกรมม่าสำคัญ นั่นมันเป็นเพราะว่าคุณเคยเป็นครูมาหรือเปล่าครับ หรือว่าคุณไม่เคยเป็น)

M: I’ve never been a teacher but I live in Miami where there is notoriously bad grammar.  And this makes a big difference between how you appear to people from my own perspective. (ผมไม่เคยเป็นครูมาก่อนเลย แต่ว่าผมอยู่ในไมอามี่ซึ่งเป็นเมืองที่ใช้แกรมม่าได้อย่างแย่มาก แล้วมันก็แสดงให้เห็นความแตกต่างมากเหมือนกันนะ ว่าคนที่คุณคุยด้วยอ่ะเขาจะมองคุณยังไง ... ในทัศนะของผม)

P: It’s raining now.  I think we need to stop our conversation here.  Thank you very much for participating in this video. (ตอนนี้ฝนตกแล้วล่ะ ผมว่าเราต้องยุติการสนทนาของเราเอาไว้เพียงแค่นี้นะ ขอบคุณมากๆครับที่มามีส่วนร่วมในวิดีโอตอนนี้)

M: You’re very welcome. (ยินดีครับ)

P: God bless you! (ขอให้พระเจ้าให้พรคุณนะ)

M: God bless you too! (ขอให้พระเจ้าให้พรคุณเช่นกันครับ)

-----------------------------------------

นักเรียน: Hi, my name is Owen.  Two years ago, I couldn’t speak English at all.  After 2 years of working hard, I can help myself.  This is my first time in Miami, but my second time in the U.S.  Coming to the U.S. is a dream-come-true.  I would like to assure you that overcoming English is possible. (สวัสดีครับ ผมชื่อโอเว่น เมื่อสองปีก่อนผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย หลังจากสองปีแห่งการพยายามอย่างหนัก ตอนนี้ผมก็ช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกของผมในเมืองไมอามี่ แต่เป็นครั้งที่สองของผมที่มาอเมริกา การมาอเมริกานี่ถือว่าเป็น “ฝันที่เป็นจริง” ของผมเลยครับ ผมอยากจะให้คุณมั่นใจว่าการพิชิตหรือเอาชนะภาษาอังกฤษเนี่ย มันเป็นไปได้ครับ)

guest

Post : 2016-12-12 08:47:06.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า now ใช้ได้ในหลาย tense(s)

 คำว่า: now(ตอนนี้, เดี๋ยวนี้) ใช้ได้กับหลาย tense(s)

(ใช้ตามนี้ได้-ถูกทุกข้อครับ)

 

มีนักเรียนไทยหลายคนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการใช้คำว่า “now” ว่าใช้ได้เฉพาะใน Present Continuous Tense เท่านั้น – ซึ่งไม่เป็นความจริง

ประโยคตัวอย่างข้างล่างนี้ เจ้าของภาษาฯ เขาใช้กันแบบนี้จริงๆ ถูกต้องทุกประโยคครับ

* I live in Phuket now. (ฉันอาศัยอยู่ที่ภูเก็ตแล้วนะตอนนี้) [Present Simple Tense]

 

* I’m in class now. (ตอนนี้ฉันอยู่ในชั้นเรียนแล้วนะ) [Present Simple Tense]

 

* I’ve finished my work now. (ฉันทำงานเสร็จแล้วนะตอนนี้) [Present Perfect Tense]

 

* I’m driving now. (ฉันกำลังขับรถอยู่นะตอนนี้) [Present Continuous Tense]

 

* I have to go now. (ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ) [Present Simple Tense]

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53 และสาขาจรัญสนิทวงศ์ 85)

guest

Post : 2016-11-30 20:45:56.0     Forum: บทความภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ  >  คำว่า Near กับ Nearly แปลต่างกัน

 Near กับ Nearly แปลต่างกันโดยสิ้นเชิง

Near (บุพบท, Adj., Adv., Verb) = ใกล้, เข้าใกล้
Nearly (Adv.) = จวนเจียน, เฉียด, เกือบจะ
I have a house near Khao Yai.

(ฉันมีบ้านอยู่ใกล้ๆ เขาใหญ่)

I have a near-death experience.
(ฉันมีประสบการณ์ที่มีความรู้สึกเหมือนใกล้ตาย)
I could hear that sound very near.

(ฉันได้ยินเสียงนั้นแบบใกล้มากๆ เลย)

I nearly died from food poisoning.

(ฉันเกือบจะตายเพราะอาหารเป็นพิษเลยทีเดียว)

She’s nearly six feet tall.

(หล่อนสูงเกือบหกฟุตแน่ะ)

 

 

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง (Home of Naked English – ลาดพร้าว 112 และ รามคำแหง 53 และสาขาจรัญสนิทวงศ์ 85)

1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | ... 다음 끝